จากข่าวที่ว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 7 ที่กำหนดว่า ไม้สักและไม้ยางรวมถึงไม้ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 อีก 16 รายชื่อ ได้แก่ ไม้พะยูง ไม้ชิงชัน ไม้มะค่าโมง ไม้ประดู่ ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้เทียง ไม้พลวง ฯลฯ เป็นต้น ที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นไม้หวงห้าม การทำไม้หรือนำไปใช้ประโยชน์จะต้องมีการอนุญาตตามกฎหมาย แม้ประชาชนจะปลูกไม้ด้งกล่าวในพื้นที่ของตนเองก็ไม่สามารถตัดได้ก่อนที่จะขออนุญาต ซึ่งเรื่องนี้กรมป่าไม้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่ออำนวยประโยชน์และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้เศรษฐกิจในที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือที่ดินที่มีสิทธิในการใช้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย และในเวลาเดียวกันจะเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจให้กับประเทศ
ข้อเสนอแก้ไขกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ถือได้ว่าเป็นนโยบายที่เดินมาถูกทางแล้ว เพราะสถานการณ์เกี่ยวกับสภาพป่าของประเทศกำลังอยู่ในสภาพอันตรายอย่างยิ่ง เพราะพระราชบัญญัติป่าไม้ที่ออกใช้ในอดีตกับสภาพความเป็นจริงของป่าในประเทศสภาพเปลี่ยนไปเพราะพระราชบัญญัติป่าไม้ฉบับที่ใช้อยู่เกิดจากความพยายามควบคุมการตัดไม้ผิดกฎหมาย ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคแก่ผู้ที่ต้องการทำถูกกฎหมายในการปลูกไม้หวงห้ามดังกล่าวในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตน จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องการสนับสนุนให้ประชาชนสร้างผืนป่า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเพิ่มพื้นป่าและเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนปลูกป่าเศรษฐกิจ ซึ่งจะเกิดผลประโยชน์ด้วยการสร้างรายได้สู่ประเทศแทนที่จะสูญเสียรายได้จากการนำเข้าจำนวนมาก กลายเป็นการส่งเสริมการส่งออกดังในอดีต การแก้กฎหมายครั้งนี้เป็นไปตามนโยบาย “การส่งเสริมป่าเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
แนวความคิดในเรื่องการส่งเสริมการทำเกษตรกรรม การปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจนี้เกิดขึ้นในประเทศในโลกไม่ใช่ของใหม่ เพราะหลายประเทศโดยเฉพาะในทวีปยุโรปและอเมริกาได้ใช้ประโยชน์จากป่าไม้ โดยแทนที่จะตัดไม้จากป่าธรรมชาติจนกลายเป็นป่าหัวโล้น ด้วยนโยบายปฏิรูปทรัพยากรป่าไม้ที่ยั่งยืนดังเช่นในประเทศสวีเดน ด้วยกฎหมายที่ทำให้ป่าไม้ของประเทศยืนยงอยู่ด้วยความมั่นคงโดยที่ทั้งประชาชนและประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ กฎหมายที่ส่งเสริมให้ประชาชนที่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่กำหนดให้เป็นป่าสามารถปลูกต้นไม้เศรษฐกิจและตัดต้นไม้ที่ปลูกได้ โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าตัดต้นไม้เพื่อการเศรษฐกิจหนึ่งต้นจะต้องปลูกทดแทน จำนวน 5 ต้น ในที่ดินที่ปลูกต้นไม้เพื่อการเกษตรนั้น ผลจากนโยบายดังกล่าวทำให้ประเทศสวีเดนนอกจากมีป่าที่สมบูรณ์ตลอดเวลาแล้ว ยังมีผลทำให้การทำไม้เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
สรุปได้ว่า การแก้พระราชบัญญัติป่าไม้ดังกล่าวซึ่งควรจะทำมานานแล้ว การกระทำในครั้งนี้แม้จะช้าเกินไปแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำจนกระทั่งป่าไม้ซึ่งเคยมีมากในแผ่นดินไทยกำลังจะหมดไป จึงกล่าวได้ว่านี่เป็นผลงานชิ้นโบแดงชิ้นหนึ่งของรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี