ภายหลังคณะทหาร คสช. ใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำกำลังทหาร 3 เหล่าทัพรัฐประหารโค่นอำนาจรัฐบาลในระบอบทักษิณที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาววัย 51 ปีของทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ฐานะของรัฐบาลทหาร คสช.ถูกกลุ่มชาติตะวันตก ในกลุ่มจี 7 ต่อต้าน โดยมีสำนักข่าวชื่อดังคือบีบีซีภาคภาษาไทยเป็นฐานโจมตีรัฐบาลทหาร เป็นระยะตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
สำหรับประชาชนคนไทยนับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาจนถึงปีนี้ 2561 ความแตกแยกของคนไทยยังคงมีอยู่มากมายระหว่างฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณและพรรคเพื่อไทยของนักการเมืองมหาเศรษฐีกับฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณซึ่งแต่ละฝ่ายมีจำนวนประชาชนเป็นสิบๆ ล้านคน และร่ำๆ จะเกิดสงครามกลางเมืองเพราะปัญหาขัดแย้งแบบรุนแรง ด้วยเหตุนี้คณะทหารไทยถึงได้เข้ามาก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเรือนถึง 2 ครั้ง 2 คราว
ในวันที่ 19 กันยายน 2549 และวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ปัจจุบันกระแสโจมตีคณะรัฐบาลคสช.ยังมีอยู่ทั้งเปิดเผยและทั้งใต้ดินเนื่องจากฝ่ายสนับสนุนทักษิณในประเทศไทยมีอยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนขนาดใหญ่ 4 ฉบับ สถานีโทรทัศน์หลายๆ ช่อง ในขณะที่ฝั่งต่อต้านทักษิณก็มีสื่อทั้งหนังสือพิมพ์ 6-7 ฉบับ สถานีโทรทัศน์ 3-4 แห่ง แล้วยังมีสื่อโซเชียลมีเดียอีกมากมาย
อะไรที่เป็นจุดอ่อนของคณะรัฐบาลทหารคสช.จะถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตีตลอดในทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นหลานชายนายกรัฐมนตรีที่เป็นนักธุรกิจเล็กๆ ก็ถูกแฉออกมา ทั้งๆ ที่กิจการของหลานชายนายกรัฐมนตรีที่พิษณุโลกเป็นกิจการเล็กจริงๆ หากนำไปเทียบกับการเป็นนายหน้ากู้เงินธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ของลูกชายของอดีตนายกรัฐมนตรีอีกคน
หรือว่าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเซนต์คาเบรียลถนนสามเสน โรงเรียนราษฎร์ เก่าแก่อายุ 100 กว่าปี ของคณะนักบวชซาเลเซียน ชาวฝรั่งเศส ยืมนาฬิกาข้อมือราคาแพงระยับจากเพื่อน
ร่วมรุ่นมาใส่หลายสิบเรือน ก็ถูกยกมาเป็นเรื่อง ทั้งๆ ที่การยืมนาฬิกาเพื่อนใส่เป็นเรื่องปกติธรรมดา
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยไปเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศสในวันที่ 20-25 มิถุนายนนี้ โดยไปพบนางเทเรซาเมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่งกรุงลอนดอน ในระหว่างวันที่ 20-22 มิถุนายน ส่วนวันที่ 23-25 มิถุนายน ก็จะไปพบประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ที่ทำเนียบเอลิเซ่ ในมหานครปารีส
สำนักข่าวบีบีซีไทยรายงานว่า 15 เดือนที่ผ่านมา “บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตรไปเยือนอังกฤษ 3 ครั้ง เพื่อซื้ออาวุธสงครามหลายชนิดมูลค่ารวม 50 ล้านปอนด์ หรือ 2,200 ล้านบาทซึ่งจำนวนเงินน้อยมากหากนำไปเทียบกับประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน, สหรัฐอเมริกา, อิตาลี, ฝรั่งเศส, อิสราเอล, ยูเครนหรือว่ารัสเซีย ฯลฯ
สาเหตุที่ประเทศไทยโดยเฉพาะกองทัพ 3 เหล่า หรือว่าตำรวจต้องไปช็อปปิ้งอาวุธสงครามมากมายในช่วงปี 2550 ถึง 2561 มากเป็นกรณีพิเศษก็เนื่องมาจากเป็นที่รู้กันว่าอาวุธที่มีประจำการในกองทัพไทยนั้นเป็นอาวุธเก่าที่ส่วนใหญ่ล้าสมัยมีประจำการมานานแล้วบางแบบมีอายุ 60 ปี ก็ยังมี จึงต้องจัดหาอาวุธใหม่มาประจำการทดแทนเป็นจำนวนมาก
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนนอกจากกองทัพบกแล้ว กองทัพเรือซึ่งได้ทำสัญญาซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ จากจีนในมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านบาทซึ่งเป็นเรือใหม่ที่จะได้เข้ามาประจำการเหมือนเวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ก็มีเรือฟรีเกตจากเกาหลีใต้ 2 ลำ, เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง 1 ลำ ที่ต่อเองในไทยใช้เทคโนโลยีจีน, เครื่องบินฝึกหัดที 50 ทีเอช จากเกาหลีใต้ 12 เครื่อง ของกองทัพอากาศและเครื่องบินปีกหมุนเบลล์ เฮลิคอปเตอร์ รุ่น 412 เอสพี 12 เครื่อง จากแคนาดา
“บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์เดินทางไปเยือน 2 ชาติในยุโรปครั้งนี้ ตามข้อเท็จจริงแล้วก็เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีกันธรรมดา ส่วนการช็อปอาวุธมานั้นถือว่าเป็นของแถมมากกว่าเพราะ2 ชาติ ที่ว่าซื้อไทยมากกว่าขายการซื้อถือเป็นการตอบแทนทางการค้าเสียมากกว่าเพราะยอดซื้อน้อยมากจริงๆ หากนำไปเทียบกับประเทศอื่นๆ
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี