ในบทความเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 ได้กล่าวถึงการสร้างผู้นำทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตย โดยปฏิรูปการเรียนการสอนวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ฯลฯ จะขอชี้แจงและขยายความในบทความวันนี้สักเล็กน้อย
คณะราษฎร พ.ศ. 2475 ได้เห็นความสำคัญของการศึกษาต่อการพัฒนาทางการเมือง จึงได้ผูกโยงระบบการเลือกตั้ง เข้ากับการขยายการศึกษาภาคบังคับ (4 ปี) ให้ทั่วถึง ขณะเดียวกัน ท่าน อาจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ก็สร้างคุณูปการที่ใหญ่หลวงในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เวลาต่อมา ซึ่งยังผลให้เกิดนักการเมืองที่มีความรู้ ความคิด เรื่องการเมืองการปกครองตามคติใหม่ และผู้จบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนหนึ่งก็เข้ามาเป็นผู้แทนราษฎร เสียดายที่ต่อมา คำว่าการเมืองได้ถูกตัดออกไปจากชื่อเดิม มีผลระยะยาวต่อชาวไทยที่เริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ทางการเมือง จนกระทั่งถึงยุคสมัยที่ผู้เขียนเติบโตและชราภาพจนเกษียณอายุจากราชการ ก็ยังแก้ไขทัศนคติ (เชิงลบต่อการเมือง) ดังกล่าวมิได้
หากปล่อยให้ชาวไทยเป็นโรคภูมิแพ้ต่อการเมืองเช่นนี้ การที่จะสอนวิชาหน้าที่พลเมืองจึงมีข้อจำกัด อีกทั้งการสอนตามบทบัญญัติหรือสาระของรัฐธรรมนูญฉบับที่ประกาศใช้ในช่วงนั้น ชาวไทยแต่ละรุ่นแต่ละสมัยก็คงต้องจดจำสาระของรัฐธรรมนูญที่แตกต่างกันออกไปตามยุคสมัย และคงไม่มีความศรัทธาที่แท้จริงต่อฉบับใดฉบับหนึ่ง เพราะรัฐธรรมนูญนั้น ปรับเปลี่ยนไปได้เสมอตามแต่คณะทหารหรือพลเรือนใดขึ้นสู่อำนาจ/ยึดอำนาจได้ในช่วงนั้น
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่แปรผันตามยุคสมัยของการยึดอำนาจ จึงกลายเป็นการเมืองแห่งอำนาจ การเมืองที่รุนแรง ที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม การเมืองจึงเป็นเรื่องอันตราย และคงไม่เหมาะกับพลเมืองทั่วไป ประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่ไฟแรง และมีสติปัญญา ก็คงพากันหลีกเลี่ยงเส้นทางของการเมืองและมุ่งหน้าสู่อาชีพอื่น ปล่อยให้เวทีการเมืองเป็นเวทีของนักเสี่ยงโชคที่พร้อมจะขายวิญญาณให้แก่เศรษฐีมีทรัพย์ เจ้าของพรรคและก๊วนการเมืองทั้งหลาย
ข้อเสนอในที่นี้ก็คือ ในวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมควรจะต้องสอนวิชา หลักรัฐธรรมนูญ หรือ “ลัทธิรัฐธรรมนูญ” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Constitutionalism” เป็นวิชาที่สอนหลักการสำคัญ ที่จะพบในรัฐธรรมนูญ (ตามคติประชาธิปไตย) ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหน นัยหนึ่ง รัฐธรรมนูญในอุดมการณ์ ควรจะต้องประกอบด้วย หลักการสำคัญ 3-4 ประการ ที่ทุกๆ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยควรจะต้องกำหนดไว้
ที่สำคัญคือ ในวิชาสังคมศึกษา ที่มุ่งสร้างความเป็นพลเมืองและผู้นำในอนาคต ควรจะเพิ่มมิติในการสร้างความคิดและจิตสำนึกว่าอะไรคือวิถีทางที่ประเสริฐ และเท่าที่พอจะนึกได้ ก็คือ มี 2 ประการ
1.ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ควรเพิ่มมิติการเรียนการสอนในเชิงปรัชญาความคิด โดยเฉพาะหลักพื้นฐานของปรัชญาการเมือง เช่นประเด็นหลัก หรืออุดมการณ์หลัก เรื่อง ความจริง ความดี และความงดงาม นักเรียน นักศึกษา จะต้องได้รับการฝึกฝนให้คิดวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะในแง่ความจริง เช่น เทคโนโลยี นำความเจริญมาสู่สังคมได้จริงหรือ?การถกเถียงในประเด็นสำคัญในยุคสมัยของนักศึกษา จะเป็นการฝึกให้เกิดความคิดรอบด้าน - ทั้งทางบวกทางลบ และเป็นการฝึกฝนในเชิงปัญญาให้เป็นผู้มีเหตุผลมากขึ้น
การเพิ่มพลังแห่งเหตุผลของมวลมนุษย์ คือ วิถีทางสำคัญที่จะนำไปสู่ความเจริญและสันติสุขในสังคม อาจช่วยลดการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาในอนาคต
หรืออีกปัญหาหนึ่งที่เราชาวไทยก็ต้องกล้าเผชิญ คือ คำถามสุดคลาสสิก ที่ว่า อะไรคือสาเหตุของการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา
การฝึกให้นักเรียน-นักศึกษา วิเคราะห์ปัญหาหลักของชาติในอดีตก็เท่ากับเพิ่มความสามารถของเขาที่จะวิเคราะห์ปัญหาในปัจจุบัน ที่เราเผชิญกับวิกฤติทั้งต้มยำกุ้ง และวิกฤติการเมืองแบบ zero-sum game
2.นอกจากการชักนำให้นักศึกษาได้สัมผัสกับปัญหาเชิงปรัชญาแล้ว ควรจะเปิดโอกาสให้นักเรียน-นักศึกษา ได้มีความเข้าใจค่อนข้างลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ ในแวดวงรัฐศาสตร์สหรัฐฯ มักเรียกว่า ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) ซึ่งมุ่งวิเคราะห์แสวงหาหลักการที่เป็นเสาเอกของกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดความเข้าใจไปในทางเดียวกันว่า รัฐธรรมนูญที่สมควรได้ชื่อว่าเป็นธรรมนูญที่ดี และประสบผลสำเร็จทางการเมืองคืออย่างไร ข้อเสนอเท่าที่พอจะจำได้ ก็คือ
1.หลักนิติธรรมรัฐ หรือ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Rule of Law” หรือ “Supremacy of Law”
ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น หรืออีกนัยหนึ่ง เราทุกคนอยู่ใต้การปกครองของกฎหมาย การจับกุมคุมขังผู้หนึ่งผู้ใดจะกระทำมิได้โดยปราศจากหมายศาลที่ระบุความผิด (ตามตัวบทกฎหมาย) และทุกคน ยังถือว่าบริสุทธิ์จนกว่าตุลาการศาลจะมีคำวินิจฉัย
2.อำนาจอธิปไตยของดินแดน (ของรัฐ) รัฐที่มีอาณาเขตทางดินแดน มีอำนาจสูงสุด ทุกคนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตนั้นย่อมอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐอย่างเสมอกัน
3.หลักของสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน(Human Rights) ทุกคนเกิดมามีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน ตามคำขวัญของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ที่ว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันใน “ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข”
4.อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน แต่การใช้อำนาจจะต้องผ่านสามสถาบันหลักได้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา อำนาจตุลาการผ่านศาล และอำนาจบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี
การแบ่งแยกการใช้อำนาจทั้ง 3 ประการนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการรวบอำนาจ (และเผด็จการ) ไว้ในมือของคนคนเดียว หรือองค์กรเดียว
นอกจากนั้น ยังมีความเชื่อในหลักของการสร้างความสมดุลแห่งอำนาจของทั้ง 3 สถาบัน หรือแม้แต่ในสถาบันรัฐสภา ซึ่งเป็นกลไกหลักในการควบคุมฝ่ายบริหาร ก็ยังมีความเชื่อว่าจะต้องสร้างระบบการคานอำนาจภายในรัฐสภา เพื่อป้องกันมิให้พรรคการเมืองใดได้มีอำนาจเหนือพรรคอื่นๆ ตลอดไป
โดยสรุป ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม ดังกล่าว วิวัฒนาการจากประสบการณ์และความคิดวิเคราะห์ธรรมชาติของมนุษย์ที่ประกอบด้วย ด้านมืดและด้านสว่าง ด้านดีและด้านเลว จึงหยิบยื่นโอกาสให้มนุษย์ได้แสวงหาสิ่งที่ดีงามและพึงปรารถนาในชีวิต ในขอบเขตที่จะไม่ก่อผลร้ายต่อผู้อื่น ขณะเดียวกัน ก็หาทางสกัดกั้นมิให้มนุษย์มีอำนาจตามอำเภอใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความหายนะของสังคมโดยส่วนรวม
การร่างรัฐธรรมนูญที่ดีจึงควรจะได้คำนึงถึงหลักการที่สำคัญเหล่านี้ โดยขณะเดียวกันก็สามารถปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมของแต่ละสังคม เช่น สังคมไทย เป็นราชอาณาจักร และประชาชนมีความเคารพบูชาสถาบันกษัตริย์ ก็จะต้องกำหนดบทบาทของสถาบันกษัตริย์ไว้ในฐานะที่เหมาะสมดังที่ทุกๆ คณะร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ปฏิบัติอยู่แล้ว สถาบันกษัตริย์จึงเป็นศูนย์รวมใจของอาณาประชาราษฎร์ ในขณะที่ประเทศที่ไม่มีระบบกษัตริย์จะขาดสถาบันที่จะเป็นศูนย์รวมใจและสร้างสามัคคีธรรม
การสอนเรื่องความสำคัญและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ จึงควรเป็นภารกิจสำคัญของคณะครูระดับประถม-มัธยมศึกษา
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี