เข้าใจความรู้สึกของลูกศิษย์พระทั้งหลายที่ถูกหิ้วปีกเข้าซังเตอยู่ในเวลานี้ ว่าสะเทือนใจ ไม่เชื่อว่าพระที่ตนกราบไหว้นับถือจะทำความผิด และพานโกรธเจ้าหน้าที่ ที่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งคนที่ถูกโกรธหนักที่สุด ไม่พ้นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์
แต่อย่างไรก็ตาม “ปัญญา” ควรจะมาก่อน “อารมณ์” และความยึดติด-ยึดมั่นถือมั่น ไม่ควรมีเลย
1) อย่าไปเสียดาย “ผ้าเหลือง” หากการถูกจับถอดผ้าเหลืองนั้น จะช่วยพิสูจน์ความสุจริต/ทุริต ของผู้ที่ถูกกล่าวหา จีวรห่มได้ก็ถอดได้ ซึ่งหากเป็น “ผู้ทรงศีล” แท้จริงแล้ว ใส่ชุดอะไรศีลก็มีอยู่จริง จากการครองตน จากการดำเนินชีวิต และจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการพิสูจน์ตามกฎหมายจนถึงที่สุดแล้วไม่ผิด ก็กลับมาบวชใหม่ได้ เชื่อว่ากระบวนการเยียวยาทั้งหลายก็จะมีตามมา แต่ขอให้ผ่านการพิสูจน์เสียก่อน ดังนั้น ลูกศิษย์ที่ดี ต้องสนับสนุนกระบวนการตรวจสอบและการพิสูจน์ตามกฎหมายนี้
2) หยุดโวยวายว่าทำไมจับแต่พระ ไม่เห็นจับเจ้าหน้าที่หรือฆราวาสคนใดเลย ดึงสติกลับมา แล้วมาไล่เลียงพฤติกรรมกันดูนะ เช่น กรณีพระวัดสระเกศ มันไม่ใช่พฤติกรรมที่เรียกว่า “กินเงินทอน”แต่เป็นการฟอกเงิน/ยักยอกเงิน โดยเงินดังกล่าวเป็นเงินสนับสนุนจากรัฐ ในขณะที่คดีเงินทอนวัดก่อนหน้านี้ มักเกิดจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อนุมัติเงินไปอุดหนุนวัด โอนเงิน แล้วไปขอเงินคืน เหลือให้วัดนั้นนิดหน่อย โดยที่บางวัดรู้เห็นเป็นใจ ทำกันเป็นขบวนการ แต่ส่วนมากไม่รู้ ที่ผ่านมาจึงจับกุมแต่ฆราวาสเสียเป็นส่วนมาก
3) แต่ “กลโกง...ชั้นพรหม” รอบนี้ ต่างออกไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขบวนการงาบเงิน/ฟอกเงิน ของวัดสระเกศนั้น มีพฤติกรรมและขั้นตอนที่ “ไม่ธรรมดา กล่าวคือ
3.1 เสนอของบประมาณอุดหนุนจากสำนักงานพระพุทธฯ มาทำโครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนฯ โดยวัดสระเกศฯได้รับงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) รวม 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเงินจำนวน 30 ล้านบาท โดย พศ. จ่ายเป็นเช็ค เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2558 ครั้งที่ 2 ทางวัดได้เสนอของบประมาณอุดหนุนกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้รับงบประมาณอีก 32.5 ล้านบาท โดย พศ. จ่ายเงินเข้าบัญชีเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2559
3.2 เอกสารระบุว่า จะนำงบประมาณเพื่อนำไปอุดหนุนให้วัดสาขา 13 แห่ง แต่เมื่อตรวจสอบรายละเอียดกลับพบว่ามีวัดจำนวน 9 วัด ที่ไม่ได้รับงบประมาณอุดหนุนเลยตามที่ระบุไว้ ประกอบด้วย วัดไตรธรรมาราม จ.สุราษฎร์ธานี, วัดบุดดา จ.สิงห์บุรี, วัดมหาพุทธาราม จ.ศรีสะเกษ, วัดพระธาตุพนม จ.นครพนม, วัดอัมพวัน จ.ยโสธ, วัดบ่อชะเนง จ.อำนาจเจริญ,วัดพระพุทธบาทเขากระโดง จ.บุรีรัมย์, วัดศรีมงคลใต้ จ.มุกดาหาร และวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา ส่วนวัดที่เหลืออีก 4 คือ วัดหลวงพ่อสด จ.ราชบุรี, วัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่,
วัดปากน้ำ จ.อุบลราชธานี และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ได้รับงบประมาณไปแห่งละ 2 ล้านบาท รวม 8 ล้านบาท
3.3 งบประมาณที่เหลืออีกกว่า 50 ล้านบาทนั้น พบว่าอดีตพระพรหมสิทธิ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ได้โอนไปยังบัญชีของ น.ส.นุชรา สิทธินอก อายุ 32 ปี คนในบ้านของ น.ส.ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา อายุ 50 ปี อดีตเจ้าของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ดีดีทวีคูณ ซึ่งเป็นสีกาคนสนิทของอดีตพระพรหมสิทธิ เพื่อให้ผลิตสื่อโฆษณาให้กับวัด
3.4 จากการสอบปากคำอดีตพระพรหมสิทธิในเบื้องต้น ได้ให้การว่า ที่โอนไปยังบัญชีของนางสาวนุชรา นั้น ก็เพราะ น.ส.ฑัมม์พรแนะนำว่า เป็นวิธีหนึ่งในการเลี่ยงภาษี แต่เมื่อชุดสืบสวนร่วมกับ ปปง.ตรวจสอบแล้วกลับพบว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเงินจำนวนดังกล่าวถูกนำไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ และมีการนำไปใช้ในกิจการส่วนตัวจำนวนมาก ทั้งที่เงินจำนวนนี้ควรจะถูกจัดส่งไปยังวัดจำนวน 9 วัด เพื่อให้พระเณรในต่างจังหวัดที่ด้อยโอกาสได้เรียนหนังสือตามที่วัดเขียนโครงการมา ซึ่งระบุว่าจะส่งเงินไปยังโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เป็นเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 26,000 บาทต่อรูป รวมทั้งสองโครงการเป็นเงิน 62.5 ล้านบาท
3.5 ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า รูปแบบของการทุจริตเงินวัดของวัดสระเกศครั้งนี้ จึงแตกต่างจากการดำเนินคดีเงินทอนวัดในครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากรูปแบบเดิมที่พบในวัดต่างจังหวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะเป็นฝ่ายเสนองบประมาณให้วัดไปทำโครงการต่างๆ แต่เงินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ถูกโอนคืนกลับไปให้ข้าราชการในสำนักงานพระพุทธฯ บางวัดพระจึงกลายเป็นเหยื่อของการกระทำความผิด ตำรวจจึงไม่ได้ดำเนินคดีกับพระแต่ได้กันไว้เป็นพยาน เพราะถือว่าไม่มีเจตนา แต่กรณีของวัดดังในกรุงเทพฯทั้ง 3 วัดนั้น พระไม่ได้โอนเงินกลับไปยังเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธฯ แต่เงินที่ได้รับมาเพื่อทำโครงการต่างๆ กลับถูกโอนเข้าบัญชีฆราวาส บัญชีตัวเอง หรือมูลนิธิฯบางแห่งแทน เข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ซึ่งตัวพระเป็นผู้ที่กระทำทุจริตด้วยตัวเอง จึงต้องถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันฟอกเงินเพราะพระไม่ได้เป็นเหยื่อ เหมือนคดีเงินทอนวัดที่ผ่านมา
4) มาดูพฤติการณ์ของ “พระจำนงค์ ธมฺมจารี” หรือ “อดีตพระพรหมเมธี” ที่ต้องหนีการจับกุมไปทำเรื่องขอลี้ภัยอยู่ที่เยอรมนีในขณะนี้บ้าง เนื่องจากในช่วงที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามนั้นในปี 2557 นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) ในขณะนั้นได้เซ็นเช็คอนุมัติงบประมาณ 5 ล้านบาท มอบให้นายบุญเลิศ โสภา ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา แล้วส่งเข้าบัญชีวัดสัมพันธวงศาราม เพื่อจัดทำโครงการโรงเรียนพระปริยัติธรรม ในช่วงที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวรมหาเถร) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กำลังอาพาธ และมีอดีตพระพรหมเมธี เป็นผู้บริหารจัดการภายในวัดชั่วคราว แต่กลายเป็นว่า เงินเข้าบัญชีส่วนตัวของอดีตพระพรหมเมธี โดยที่ไม่ได้นำไปใช้จัดทำโครงการโรงเรียนพระปริยัติธรรมแต่อย่างใด แล้วต่อมาก็โยกเงินจำนวน 3.5 ล้านบาท ไปเข้าบัญชีที่ 2 ของอดีตพระพรหมเมธีอีกด้วย
5) หากย้อนกลับไปเมื่อ 27 ก.พ.2558 หรือเมื่อ 2 ปีก่อนสมัยที่พระจำนงค์ ยังเป็นพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ในฐานะกรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม (มส.) เคยตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงแนวทางการปฏิรูปคณะสงฆ์ ซึ่งมีแนวคิดตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของกรรมการมหาเถรสมาคมด้วย
โดยพระพรหมเมธี ในขณะนั้นกล่าวว่า “แล้วจะตรวจสอบเรื่องอะไร คือถ้าตรวจสอบของ มส.และพระสงฆ์ทั่วไปก็เหมือนการตรวจสอบศรัทธาของประชาชน พระองค์นี้ก็มีลูกศิษย์มาก พระองค์นี้มีลูกศิษย์น้อย อย่างหลวงพ่อเนี่ยบวชมาตั้งแต่อายุ 12 ปีจนมาถึงปัจจุบัน 50 กว่าปีก็มีลูกศิษย์มากมาย ลูกศิษย์เขาก็มีศรัทธา แต่ถ้าเราไปตรวจสอบทรัพย์สินของวัดสามารถตรวจสอบได้ แต่ตรวจสอบ มส.จะตรวจสอบเรื่องอะไร ส่วนจะเป็นการก้าวล่วงหรือไม่นั้น สังคมคิดว่า ถ้าชาวบ้านมาก้าวล่วงกับพระสงฆ์ อย่างหลวงพ่อที่มีลูกศิษย์ลูกหาที่เขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ยกตัวอย่างอดีตนายกรัฐมนตรี เขาก็อาจจะเดือดร้อนว่ามารุกรานครูบาอาจารย์ของเขา นี่เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกันนะ เรื่องตรวจสอบ”
6) มาดูวัดสามพระยาบ้าง ในวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามบุกเข้าจับกุมตัว และตรวจค้นภายในกุฏิของพระพรหมดิลก ได้พบเอกสารที่เกี่ยวกับการเลื่อนสมณศักดิ์ของพระสงฆ์จำนวนหลายรูป ซึ่งตรงกับแนวทางการสืบสวนที่พบว่าพระที่ปรากฏในเอกสารที่ยึดได้บางรูปนั้น เกี่ยวพันกันกับการวิ่งเต้นเพื่อขอเลื่อนสมณศักดิ์ในแต่ละปีอีกด้วย
แหล่งข่าวในชุดสืบสวน กล่าวว่า จากการสืบสวนทราบว่า พระพรหมดิลก ที่เป็นเจ้าอาวาส และมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะกรุงเทพฯ นั้น มีความสนิทสนมกับโยมสีกาเจ้าของร้านสังฆภัณฑ์ที่ค้าขายเกี่ยวกับเครื่องอัฐบริขารใน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โดยจากการตรวจสอบรายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างสีกาเจ้าของร้านกับพระพรหมดิลก พบว่า มีความใกล้ชิดกันมาก ทำให้สีกาคนนี้สามารถเข้านอกออกในกุฏิของพระพรหมดิลกได้มานานมากกว่า 10 ปี ล่าสุด สีกาคนนี้ได้ส่งลูกเขยคนหนึ่งมาบวชที่วัดสามพระยา เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระพรหมดิลกโดยตรง
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบการเดินทางในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า สีกาคนดังกล่าวเดินทางไปต่างประเทศกับพระพรหมดิลกมากกว่า 10 ครั้ง แต่ละครั้งมีการระบุที่นั่งคู่กันอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าสีกาคนนี้จะมีครอบครัวแล้วก็ตาม ซึ่งจากการตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน ยังพบว่าบัญชีของสีกายังมีความสัมพันธ์ในการโยกย้ายถ่ายเงินกับวัดสามพระยาและวัดอื่นๆ ภายใต้การปกครองของพระพรหมดิลกด้วย
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า หลังจากพบความสัมพันธ์ทางการเงิน ชุดสืบสวนจึงเข้าตรวจสอบรายละเอียดและสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องบางคน จนพบว่า มีวัดอย่างน้อยประมาณ 10 แห่งในเขตกรุงเทพฯ ที่สั่งซื้อเครื่องสังฆภัณฑ์จากร้านของสีกาคนนี้อย่างต่อเนื่องมานานนับสิบปี ทั้งใช้เงินของวัดเองที่ได้รับจากการบริจาค และเงินที่ได้รับอุดหนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ และวัดแต่ละแห่งที่มีการสั่งซื้อสินค้านั้น เจ้าอาวาสผู้ปกครองวัด หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสก็มีความสนิทสนมกับพระพรหมดิลก และ พระอรรถกิจโกศล เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพฯ ที่ถูกจับกุมพร้อมกับพระพรหมดิลกด้วย อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า พระสงฆ์ที่สั่งซื้อสินค้าจากร้านสังฆภัณฑ์แห่งนี้ ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ตั้งแต่ระดับเจ้าคุณชั้นสามัญขึ้นไปอย่างต่อเนื่องในรอบเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การสืบสวนยังพบว่ายังคงมีอีกหลายวัดในกรุงเทพฯสั่งซื้อสินค้าจากร้านสังฆภัณฑ์นี้ แม้ว่าวัดจะไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงก็ตาม โดยมีการติดต่อผ่านพระอรรถกิจโกศลที่ทำหน้าที่เลขานุการ
7) เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางพนักงานสอบสวน พบข้อมูลในส่วนของวัดสามพระยาวรวิหารเพิ่มเติม โดยพบว่าโฉนดที่ดินหลายแปลงที่ปรากฏชื่อของอดีตพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงิน เป็นผู้ถือครอง โดยหนึ่งในนั้น มีที่ดินใน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์ปฏิบัติธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ หรือวัดหลวงพี่แซม ซึ่งเป็นที่น่าสงสัย เนื่องจากตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าที่ดินแปลงนี้ได้มาจากสีกาคนหนึ่งที่บริจาคให้กับวัดสามพระยาวรวิหาร เมื่อปี 2538 ครั้งที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นเจ้าอาวาสวัด ต่อมาอดีตพระพรหมดิลกขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาส ก็ไปทำเรื่องโอนโฉนดมาเป็นชื่อของตัวเอง โดยทางเจ้าหน้าที่จะลงตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ว่า ที่มาของการโอนชื่อที่ดินแปลงดังกล่าวถูกต้องหรือไม่
8) สำหรับความคืบหน้าของสำนวนคดีทั้ง 3 วัด ทางพนักงานสอบสวนกำลังเร่งรวบข้อมูลหลักฐานต่างๆ คาดว่าจะสรุปสำนวนเสร็จภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ และจะทยอยส่งฟ้องเป็นรายวัด
ทั้งนี้ในส่วนของวัดสามพระยาวรวิหาร กับวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร จะสรุปสำนวนเสร็จก่อน เหลือเพียงวัดสระเกศฯ ที่มีข้อมูลหลักฐานค่อนข้างมาก คาดว่าจะใช้เวลานานกว่าวัดอื่น อย่างไรก็ดี หลังจากส่งสำนวนฟ้องเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ทางพนักงานสอบสวนยังคงต้องคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมดต่อไป เนื่องจากเกรงว่าจะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
9) อยากให้ลูกศิษย์ทั้งหลายตั้งสติ ทบทวนว่า กรณีเหล่านี้เจ้าหน้าที่ดำเนินการกันแบบชุ่ยๆ ส่งๆ เดชๆ จริงหรือ ลองพิจารณาดูนะ ว่านอกเหนือจากการตั้งข้อกล่าวหา ขอหมายจับ จับกุม ศาลไม่ให้ประกันตัว สึก ควบคุมตัวชั่วคราวแล้ว ยังปรากฏกระบวนการอื่นๆ เกิดขึ้นด้วย
10) เช่น เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 135 ตอนที่ 15 ข เผยแพร่ประกาศเรื่อง ถอดถอนสมณศักดิ์ ระบุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ด้วยปรากฏว่ามีกรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาว่า กระทําการทุจริตและถูกดําเนินคดีอาญาในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต
อาศัยอํานาจตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ตามความในมาตรา 5 ตรี แห่งพระราชบัญญัติ
คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ถอดถอนสมณศักดิ์ จํานวน 7 รูป ดังนี้
1.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร 2.พระพรหมเมธี (จํานงค์ เอี่ยมอินทรา) วัดสัมพันธวงศาราม 3.พระพรหมดิลก (เอื้อน กลิ่นสาลี) วัดสามพระยา 4.พระราชอุปเสณาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือ พระเมธีสุทธิกร) (สังคม สังฆะพัฒน์) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร 5.พระราชกิจจาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือ พระวิจิตรธรรมาภรณ์) (เทอด วงศ์ชะอุ่ม) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
6.พระอรรถกิจโสภณ (สมทรง อรรถกฤษณ์) วัดสามพระยา 7.พระศรีคุณาภรณ์ (บุญทวี คํามา) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยกเว้นลําดับที่ 3 5 6 และ 7 ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่ถูกจับกุมและสละสมณเพศ ผู้รับสนองพระราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
11) วันเดียวกัน นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และรองโฆษกสำนักงานพระพุทธฯศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงหลังการประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 15/2561 ว่า “ที่ประชุมยังรับทราบถึงพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ให้กรรมการ มส.ทั้ง 3 รูป ประกอบด้วย พระพรหมดิลก, พระพรหมสิทธิ, พระพรหมเมธี พ้นจากตำแหน่งกรรมการ มส. รวมทั้งยังมีมติให้พระพรหมสิทธิ พ้นจากตำแหน่งประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไป
ต่างประเทศ” นายสิปป์บวรกล่าว
ดังนั้น คิดกันให้ดีๆ ทบทวนกันด้วยสติ และใช้ปัญญาเข้าพิจารณาให้ลุ่มลึก ก่อนที่จะเคลื่อนไหว หรือดำเนินการอะไรชุ่ยๆ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี