ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจากสถานะที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในลักษณะกำลังก้าวข้ามจากกำลังพัฒนาไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วจากข้อเท็จจริงที่มองกันในปัจจุบันประเทศที่พัฒนาใหม่อย่างสาธารณรัฐสิงคโปร์ที่มีประชากรแค่ 5.5 ถึง 6 ล้านคน แต่มีฐานะร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศที่มีประชากร 1,400 ล้านคน กำลังทะยานไปสู่มหาอำนาจอันดับหนึ่งที่แซงสหรัฐอเมริกาได้แล้ว
ทั้ง 2 ประเทศ ไม่ได้มีสถานการณ์เป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกอย่างแท้จริง สิงคโปร์ปกครองด้วยอำนาจของคนในตระกูลลี ที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจมากอยู่นอกเหนือคำวิจารณ์ทางการเมืองในขณะที่จีนประธานิบดีสี จิ้น ผิง มีอำนาจมากควงตำแหน่งสำคัญของประเทศ 3 ตำแหน่ง ไว้ในมือคนเดียว แต่ประเทศก็ก้าวหน้าแซงสหรัฐอเมริกา
สำหรับราชอาณาจักรไทยนั้นระบอบทักษิณยังมีเงาทะมึนอยู่ คนไทยหาได้มีความสามัคคีแบบที่รัฐบาล คสช.ต้องการอย่างไรก็ตาม คนในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ไม่ต้องการให้นายทักษิณ ชินวัตร กลับมาปกครองประเทศอีกต่อไปแต่ทักษิณยังเป็นขวัญใจคนในชนบท ประการสำคัญมหาเศรษฐีในประเทศไทยร้อยละ 70 ไม่มีใครต้องการนักการเมืองขี้โกงอีกต่อไปและไม่พอใจที่คนในชนบทที่เสียภาษีน้อยแต่เรียกร้องมาก
คนชั้นกลางไม่ต้องการรัฐบาลทหารแต่ก็ไม่ชื่นชมรัฐบาลแบบทักษิณ กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่เอาทหารไม่เอาทักษิณแต่หากจะเลือกได้เขาไม่ต้องการนักการเมืองขี้โกง ไม่ต้องการข้าราชการประจำที่เข้ามากอบโกยโกงกินบ้านเมืองด้วย และไม่ได้ต้องการพระสงฆ์ทุศีลอีกเหมือนกัน
มีเสียงเรียกร้องต้องการรัฐบาลที่นำประเทศไทยก้าวไปสู่ความเจริญเด็ดขาดสามารถแก้ไขปัญหาทั้งในเมืองใหญ่และชนบทได้อาจจะไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบก็ได้ขอให้ตั้งใจทำงานมีการแสดงออกว่าเสียสละผู้นำไม่โลภมากไม่แสดงความโอ้อวดว่าร่ำรวยแต่มีวิสัยทัศน์และมีประสบการณ์ในการบริหารงานในองค์กรใหญ่ผู้นำกองทัพอย่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มาจากทหารอาจจะไม่ดีที่สุดแต่ก็ไม่มีความเลวที่จับต้องได้จนประชาชนออกมาต่อต้านในท้องถนนแบบทักษิณ
ประเทศสิงคโปร์ที่บอกว่าตระกูลลีเก่งแต่เขามีระบอบประชาธิปไตยจริงๆ หรือเบื้องหลังของเขานั้นประชาชนมีสิทธิมีเสียงอะไรในการบริหารประเทศบ้าง หากนำมาเปรียบเทียบกับไทยคนชั้นกลางคนร่ำรวยของไทยและสื่อมวลชนในไทยดูจะมีสิทธิในการวิจารณ์รัฐบาลได้มากกว่าและสื่อไทยแบ่งข้างเป็นพวกสนับสนุนทักษิณและต่อต้านทักษิณได้อย่างเสรี
รัฐธรรมนูญของไทยและกฎหมายที่เรียกว่าพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ของชาติ 20 ปี ระหว่างปี 2560 ถึง 2579 มีการวิจารณ์กันมากบ้างก็ว่าปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนในอนาคตข้างหน้า แต่อย่าลืมว่าประชาชนไทยเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน้อยมากมีแค่ 8 ล้านคน รัฐจึงต้องรับฟังคนเสียภาษีในเมืองใหญ่ว่าเขาไม่ต้องการนโยบายประชานิยมด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี