เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวที่มีกระแสไม่แรงนักเผยว่ากลุ่มพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯและพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ หลายจังหวัด ได้รวมตัวยื่นข้อเรียกร้องมาที่กระทรวงพลังงาน ให้พิจารณาทบทวนปัญหาที่กระทรวงพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ยินยอมให้ภาคเอกชนที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ผลิตไฟฟ้าขึ้นมาใช้เองไม่จำเป็นต้องไปขอซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
โดยมีเหตุผลว่าเพื่อให้รัฐบาลไม่ต้องลงทุนผลิตไฟฟ้าเองซึ่งจะเป็นการเปลืองงบลงทุนของประเทศซึ่งนโยบายนี้หลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่มีเงินทุนเองสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าขึ้นมาใช้เองได้เป็นเวลานับสิบๆ ปีแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของภาคธุรกิจ
เกี่ยวกับเรื่องเอกชนสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองนั้น นายวีระพล จิระประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นว่า กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เองมีการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบจำนวน 2,600 เมกะวัตต์ โดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์หรือว่าแสงแดดในระบบที่เรียกว่าโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งในต่างประเทศนิยมผลิตไฟฟ้าระบบนี้มากขึ้น
คาดว่าปัจจุบันต้นทุนผลิตไฟฟ้าจะเหลือประมาณ 3 บาทต่อ 1 หน่วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีต้นทุนการผลิตที่ลดลงไปเรื่อยๆ เพราะใช้ระบบโซลาร์เซลล์ในราคาถูกลงเนื่องจากมีกระแสความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น นายวีระพลเผยว่า ปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ได้มีนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนผลิตไฟฟ้าเองเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นการแบ่งเบาภาระภาครัฐลงไปได้มากเหมือนในต่างประเทศ
ในขณะนี้ทราบว่าภาคเอกชนรายใหญ่ได้แก่กลุ่มเซ็นทรัล, กลุ่มบุญถาวร, กลุ่มซีพี, กลุ่มเทสโก้ โลตัส, กลุ่มบิ๊กซี ต่างขออนุญาตผลิตไฟฟ้าใช้เองจากการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะมีกำลังผลิต 1 เมกะวัตต์ ทำให้กลุ่มเหล่านี้ลดภาระการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าลงไปได้มากเพราะแนวโน้มต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจะลดลงหากนำไปเปรียบเทียบกับการซื้อจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
นายวีระพลเผยอีกว่าเชื่อว่าในที่สุดรัฐบาลและกระทรวงพลังงานน่าจะส่งเสริมการอนุญาตให้ภาคเอกชนหรือว่าภาครัฐที่มีทุนดำเนินงานไปยื่นขอผลิตไฟฟ้าใช้ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะปัจจุบันเทคโนโลยีในการผลิตไฟฟ้าใช้มีโครงสร้างของต้นทุนต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้ประเทศและรัฐบาลไม่ต้องมารับภาระในการผลิตไฟฟ้าซึ่งรัฐบาลน่าจะใช้วิธีรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านที่มีไฟฟ้าเหลือเช่น สปป.ลาว, มาเลเซียและเมียนมา
ก็จะทำให้ประเทศของเราไม่ต้องหาเงินมาลงทุนผลิตพลังงานแบบในอดีตปัญหาต่างๆ ในการเกิดหนี้สาธารณะก็จะลดลงตามไปด้วยจึงมีความคิดว่าพนักงานการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ไม่น่าจะมาต่อต้านนโยบายนี้เพราะภาพรวมผลประโยชน์ของประเทศชาติแล้วการที่ภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจผลิตไฟฟ้าขึ้นใช้เพื่อกิจการของตนเองกลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าจะสนับสนุนส่งเสริมให้เขาผลิตไฟฟ้าขึ้นมา
สำหรับในพื้นที่ภาคใต้ที่มีข่าวว่ารัฐบาลและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯจะตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนั้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลน่าจะทบทวนนโยบายในการตั้งโรงงานไฟฟ้าจากถ่านหินเพราะต้องนำเข้ามาจากอินโดนีเซียต้องมีภาระการขนส่งถ่านหินแถมยังมีข่าวออกมาว่าผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งนำเอาเงินรายได้ของรัฐวิสาหกิจแอบไปซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย โดยพละการ ไม่ได้ขออนุมัติจากคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ซึ่งมีข่าวว่าคณะกรรมการป.ป.ช.กำลังสอบสวนอยู่
มีคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนในภาคใต้ผลิตไฟฟ้าเองจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานจากลมเองมีเบื้องหลังอะไรกับการแอบไปซื้อเหมืองถ่านหินที่อินโดนีเซียไว้ใช้หรือไม่ เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป.ป.ช.กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ต้องทำให้เกิดความกระจ่างชัดอย่าปกปิดไว้ข้อมูลต่างๆ ข้อเท็จจริงและความลับไม่มีในโลก
เป็นหน้าที่ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายธรรมยศ ศรีช่วย ปลัดกระทรวงพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร ผอ.สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ต้องทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็ว
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี