เป็นที่ฮือฮาและนำมาเป็นเรื่องต่อปากต่อคำกันไม่น้อย กับคลิปคำพูดของ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อย่าง นายต่อตระกูล ยมนาค ถึงกับโพสต์เฟซบุ๊คว่า “ว่าจะไม่เลือก ปชป. แล้วนะ เพราะยังไงๆ ก็แพ้เลือกตั้งครั้งนี้แน่นอน เอา 1 คะแนนไปช่วยบิ๊กตู่ ที่กำลังรวบรวมทุกคะแนนให้ได้เป็นรัฐบาลต่อดีกว่า เพราะอยากให้แกนำปราบคอร์รัปชันต่อ สู้ยอมอดทนกับคำพูด คำด่าเกรี้ยวกราดของแกมานาน แต่วันนี้! มาได้ฟังคุณอภิสิทธิ์ พูดโต้กับหัวหน้าพรรคหนุ่มคนใหม่ ธนาธร แล้วชอบใจมาก คุณอภิสิทธิ์ โต้เห็นต่างได้โดยไม่มีอารมณ์ ลุ่มลึก แรงแต่สุภาพ เอาไป 1 คะแนน ถึงไม่มีหวังว่าพรรค ปชป.จะชนะ แต่ก็จะเลือก ให้เป็นรูปแบบตัวอย่างนักการเมืองในระบบประชาธิปไตย”
ข้อความของอาจารย์ต่อตระกูลก็ถูกนำไปผลิตซ้ำ ทั้งแบบเห็นด้วย แบบจิกกัดหมั่นไส้ ว่าอะไรวะ จะเลือกใครไม่เลือกใคร มึงตัดสินใจแค่เพราะเขาพูดถูกหูมึงแค่นี้เองเรอะ หรือไม่ก็ด่าทออาจารย์ต่อตระกูลไป สารพัดสารพัน
อันที่จริง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาเป็นคนพูดจามีหลักมีการอย่างนี้มาตลอด เพียงแต่คนฟังเท่านั้นแหละ ที่เชื่อในหลักการเดียวกันกับเขาไหม
คนมักฟังแล้วได้ยินเฉพาะสิ่งที่ตนอยากได้ยิน คือได้ยินการตอบสนองความคิดความเชื่อเดียวกันกับตน มากกว่าฟังเขาให้ชัด ให้รู้เรื่องว่าเขาคิดอย่างไร บางพวกถึงขั้นไม่ฟัง ฟังทีไรก็ได้แต่สบถออกมาว่า ดีแต่พูด” อยู่ร่ำไป โชคดีที่นายอภิสิทธิ์ยังคงเป็นนายอภิสิทธิ์ ที่ไม่คิดที่จะพูดเพื่อเอาใจใคร นอกจากพูดให้มันถูกต้องตามหลักการที่เขาเชื่อ
ผมจึงนิยมชมชอบตรงนี้ ตรงที่เขามีหลักการ และไม่ได้พูดเอามันหรือเอาใจใคร แต่ยึดหลักการไว้เป็นทางเดินร่วมกัน
อย่างล่าสุด เขาพูดถึง “ยุทธศาสตร์ชาติ” ฟังดูแล้วก็พอเหมาะพอดี มีเหตุผล ไม่สุดโต่งจนเกินไป เข้าใจโลก เข้าใจสังคม และมีอุดมการณ์
“ผมดูแล้ว เขียนออกมาก็ไม่ค่อยเป็นยุทธศาสตร์ ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องดีไป” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตถึง “ยุทธศาสตร์ชาติ” ที่หลายคนกังวลว่าจะเป็นการ ผูกมัด” มากเกินไป ในโลกที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน ทำไม คสช. จะต้องมากำหนด “ยุทธศาสตร์ชาติ” ล่วงหน้าไปถึง 10 ปี
“งงไหมครับ ว่ามันคืออะไร” เขาตั้งคำถามกับ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งเป็นผู้ซักถามในรายการ “ต้องถาม” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่องฟ้าวันใหม่
“ในความเข้าใจของผม การทำยุทธศาสตร์ และอาจารย์ซึ่งก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์คงจะเข้าใจดี คือ เราจะต้องมาจัดลำดับความสำคัญ ว่าต่อไปนี้บ้านเมืองจะเดินไปในทิศทางนี้ ดังนั้น ทรัพยากรที่มี ก็จะต้องนำมาสนับสนุนทิศทางที่ว่านี้ แต่ถ้าอาจารย์ไปอ่านยุทธศาสตร์ 20 ปีที่เขียนไว้ในตอนนี้ มันเหมือนแค่การไล่เลียงสิ่งที่อยากให้เกิด สิ่งที่อยากจะได้ ถ้าใช้คำภาษาอังกฤษก็คือ wish list”
ในที่นี้ นายอภิสิทธิ์คงหมายถึง ร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ฉบับสรุปย่อ ที่เผยแพร่ต่อประชาชน ซึ่งมีการแบ่งยุทธศาสตร์ออกเป็น 6 ด้าน คือ 1.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 2.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3.ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน 4.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม 5.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 6.ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
“ถามหน่อยเถอะครับว่า 6 ข้อนี้ ใครไม่อยากได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร และจะมีการบังคับกันจริงจังขนาดไหน บางคนอาจถามว่า ทำไมเราจะต้องอยากได้ทุกอย่างหรือไม่เอาทุกอย่างล่ะ คำตอบก็คือ ทรัพยากรเรามีไม่พอหรอก ที่จะได้ทุกอย่าง เราจึงต้องเลือก แต่อีกข้อหนึ่งสิครับ สำคัญมาก คือ สิ่งที่เราอยากได้นั้น บางทีมันขัดกันเอง เช่น ผมเคยอ่านเร็วๆ ในยุทธศาสตร์ชาติ ข้อหนึ่งเขาบอกว่า อยากจะลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการบริการด้านสาธารณสุข อีกด้านหนึ่งเขาบอกว่าเขาจะส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านสุขภาพให้แก่ชาวต่างประเทศ ซึ่งฟังแล้วดีทั้งคู่ ด้านหนึ่งประชาชนได้เข้าถึงหมอ ถึงโรงพยาบาลที่ดี อีกด้านหนึ่งเราจะเป็นฮับด้านการรักษาพยาบาลของต่างชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเป็นฮับให้ต่างชาติมารักษาพยาบาลในประเทศไทยนั้น คือ เรื่องหนึ่งในปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดอยู่ไม่ใช่หรือครับ ซึ่งในยุทธศาสตร์ชาติที่เขียนนี้ก็ไม่ได้บอกไว้เลยว่า การจะได้ทั้งสองอย่างนี้ จะต้องทำอย่างไร
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมเห็นก็คือ เขาอยากได้พลังงานสะอาด แต่ผมก็เห็นว่ารัฐบาลนี้ยังยืนยันจะทำถ่านหิน ซึ่งน่าสนใจว่า ถ้ายุทธศาสตร์ชาติเขียนไว้ว่า จะต้องเอาพลังงานทดแทน พลังงานสะอาดเข้ามาใช้ให้มากขึ้น แต่การจะเดินหน้าใช้ถ่านหินนี่ มันจะขัดกับยุทธศาสตร์ชาติไหม ตรงนี้ไง ที่ผมบอกว่า เขาก็พยายามจะเขียนให้มันกว้างๆ ไว้ มันเลยดูไม่ค่อยเป็นยุทธศาสตร์ แต่ก็กลายเป็นข้อดีไป มันเลยไม่ไปผูกมัดคนที่จะต้องทำตามยุทธศาสตร์ชาติซึ่งประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม”
ดร.เจิมศักดิ์ ถามขึ้นว่า “ผมจำได้ว่า คุณอภิสิทธิ์เคยถามว่า มีใครรู้บ้างว่า อีก 10 ปี ข้างหน้า จะเป็นอย่างไร เพราะเมื่อถอยหลังไป 10 ปีก่อน เรายังไม่รู้เลยว่า วันนี้จะเป็นอย่างนี้ เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ยังเป็นห่วง ยังกังวลอยู่ไหมครับ”
“ยังห่วงอยู่ครับ” นายอภิสิทธิ์ตอบ และว่า “แต่กฎหมายก็มีความยืดหยุ่นอยู่นะครับ ในสถานการณ์จำเป็นก็แก้ไขได้” เขาบอก ก่อนจะอธิบายต่อไปว่า
“สำหรับผม เป็นห่วงเรื่องความยุ่งยากในการปฏิบัติราชการมากขึ้น กับประเด็นสำคัญที่ผมยังไม่สามารถหาคำตอบได้ก็คือ แผนปฏิรูปมันต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แต่ทำไมรัฐบาลประกาศแผนปฏิรูปไปแล้ว ผมอ่านในแผนยุทธศาสตร์ชาติ บอกว่าจะส่งเสริมการกระจายอำนาจ แต่ก็ไม่มีรูปธรรมนะครับ ว่าจะกระจายอำนาจมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไร แต่ในแผนปฏิรูปบางอย่าง จะมีการดึงอำนาจกลับเข้ามาสู่ส่วนกลาง ที่ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาก็คือ ถ้าต่อไปมีการเอาเรื่องแบบนี้มาเป็นเงื่อนไขในทางการเมืองกัน มันจะเกิดความยุ่งยากขึ้น ดังนั้น ในความเห็นผม แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก (ยิ้ม) สองฝ่ายที่อยู่กันสุดโต่งนั้น ต้องยอมรับความจริงและโอนอ่อนผ่อนผันเข้าหากันได้ไหม ฝ่ายนี้ที่อยากจะเขียนทุกอย่างไปผูกมัดทุกคน ยอมรับเถอะครับ ว่า มันทำไม่ได้หรอก และอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นปมปัญหา มาก่อความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคต ว่ากันด้วยเหตุด้วยผล แต่สำหรับอีกด้านหนึ่ง ผมก็เคยบอกว่า จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น พรรคก็มีวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตของประเทศ เป็นไปได้ว่า เมื่อเข้าไปทำงานหรือเสนอนโยบายในการเบือกตั้ง บ้างเรื่อง บางนโยบาย อาจถูกตีความว่าไม่ตรง ไม่อยู่ ในยุทธศาสตร์ชาติ ไอ้ถึงขั้นจะขัดนี้ผมยังไม่แน่ใจนะครับ เพราะเขาเขียนไว้กว้างๆ อย่างนี้และผมเองยังไม่ได้อ่านหมดทุกตัวอักษร ผมก็ต้องเนอ และถ้าประชาชนเขาเห็นพ้อง ผมก็ต้องไปปรับแก้ให้ทุกอย่างมันดำเนินการได้
“ที่ผมพูดอย่างนี้เพราะอะไรครับ ก็เหมือนกับเรื่องรัฐธรรมนูญนั่นแหละ ที่ผมเห็นด้วยว่าจะต้องดำเนินการแก้ไขต่อไป พรรคประชาธิปัตย์หรืออย่างน้อยผมเนี่ย ได้ตัดสินใจแล้ว ผมไม่อยากให้หลังการเลือกตั้ง สังคมกลับสู่ความขัดแย้งทันที เอารัฐธรรมนูญก็ดี เอายุทธศาสตร์ชาติก็ดี มาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ ผมอยากเห็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เร่งแก้ปัญหาของประชาชน เรียกศรัทธาของประชาชนให้กลับสู่ฝ่ายการเมืองให้ได้เสียก่อน แล้วฝ่ายการเมืองจึงค่อยบอกกับประชาชนว่า มันมีความจำเป็นนะ ที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญ ที่จะต้องแก้ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้มันเดินหน้าได้ดียิ่งขึ้นต่อไป”
ผมคงไม่บอกว่า โอ๊ยยยย พูดดี อย่างนี้เอาไปเลย 1 คะแนน ผมคงไม่อารมณ์แกว่งไกวไปตามสถานการณ์ได้ง่ายขนาดนั้น แต่ชอบที่จะฟังหลักคิดและหลักการว่าเขา “จัดลำดับความสำคัญ” อย่างไร
นายอภิสิทธิ์เอาทุกข์ เอาปัญหาของประชาชนขึ้นก่อน เรื่องรัฐธรรมนูญที่อยากแก้ เรื่องยุทธศาสตร์ชาติที่อยากโวยวาย มาทีหลัง แก้ปัญหาให้ประชาชนก่อน แล้วค่อยชวนเขามาแก้กติกาที่มันไม่ถูกหรือมันไม่เหมาะกับสภาพความเป็นจริง
เขาไม่ก่อสงคราม แต่ในคลิปที่ผมกล่าวถึงข้างต้น จะมีคนไชโยโห่ฮิ้วว่า นายอภิสิทธิ์สอนมวยธนาธร แต่เอาเข้าจริง เขาไม่ได้คิดจะสอนมวยใคร เขาแค่พูดตามหลักการ ตามวิธีคิดของเขา ที่อยู่กับ “ชีวิตจริง” ที่ไม่ลุ่มหลง หมกมุ่นอยู่แต่กับคำว่า “ประชาธิปไตย” จนลืมไปว่าประชาชนกำลังอดอยากและเป็นทุกข์
พอเถอะครับกองเชียร์สุดโต่งทั้งหลาย ถ้าจะเลือกนายอภิสิทธิ์ก็จงเลือกเพราะเขาเป็นคนอย่างนี้ ยึดหลักการ พูดโดยไม่กลัววลีที่คนใช้โจมตีว่า “ดีแต่พูด” เพราะหลายเรื่องที่เขาพูด เขาพูดให้คิด ไม่ได้พูดให้รัก
อย่ามารัก มาชอบ มาสนใจ เพราะเขา “จิก” คนที่ตนเองชังแทนให้
ธนาธรเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร เขามีความหมกมุ่นทางประชาธิปไตยของเขา มากกว่าปัญหาของประชาชน ก็ให้เขาหาหนทางไปให้ถึง “การเยียวยาความหมกมุ่นส่วนตัวของเขา” ไปเถอะครับ ไม่เลือก ไม่ชอบ ไม่ได้แปลว่าต้องเกลียด
ติ่งพี่ธนาธรก็ไม่ต้องร้อนใจ แห่แหนกันไปโจมตีทุกเพจที่เอาคลิปนี้ไปเผยแพร่ เพราะยิ่งทำ พี่ธนาธรรูปหล่อของคุณยิ่งดูแย่ ดูไม่โต และเสียหายเพราะติ่งอย่างพวกคุณ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี