ช่วงนี้ ผู้บริหารพรรคเพื่อไทยออกจะเกรี้ยวกราด เพราะมีข่าวว่าอดีต สส.ถูกดูดออกจากพรรคหลายสิบคน
จริงๆ จะเสียเก้าอี้ สส.หรือไม่ ยังไม่มีใครรู้ดอก เพราะยังไม่เลือกตั้ง
แต่ที่แน่ๆ คือ มันเสียหน้า
เสียขวัญ
เพราะอดีต สส. คือ นักการเมืองที่ใกล้ชิดกับคนในพื้นที่ มักมี “สัมผัสพิเศษบางประการ” ในทำนองว่า “นาย” หรือ “ผู้อุปถัมภ์” รายไหน จะไปรอด-ไม่รอด
1. นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ออกคำชี้แจงถึงกระแสข่าวการดูด สส. บางส่วนของพรรค พท. ว่า “กระบวนการดูด สส.” จะเป็นกระแสที่นักการเมืองแบบดั้งเดิมจะมีความเคลื่อนไหวตลอด โดยเฉพาะตั้งแต่การรัฐประหาร ปี 2549 เป็นต้นมา ฝ่ายผู้มีอำนาจได้สนับสนุนให้มีการจัดตั้งพรรคเพื่อแผ่นดินขึ้น ซึ่ง คุณ ส… คนเดิมที่เป็นอดีตหัวขบวนของนักการเมืองตระกูล ส. ที่อยู่เบื้องหลังการดูดคนของพรรคไทยรักไทยไปพรรคใหม่ของตน
นายภูมิธรรมยังได้หยิบยกวาทะของคุณอุทัย พิมพ์ใจชน ระบุว่า “...อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคไทยรักไทย เคยพูดไว้ว่า ผู้แทนฯ เปรียบเสมือนไก่ชน ถ้าชนแพ้จะถูกชั่งขายเป็นกิโล ตัวหนึ่งไม่กี่ร้อยบาท ถ้าไก่ตัวไหนชนชนะ เขาขายได้ตัวละหลายแสน เพราะฉะนั้น ห้ามแพ้ หลายคนคิดว่า เงินเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่อย่าดูถูกประชาชน เพราะประชาชนรู้ว่าควรจะตัดสินใจเลือกผู้แทนฯ อย่างไร จึงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและชุมชนของตนที่สุด
จำได้ไหมว่าเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พรรคเพื่อไทยชนะอย่างถล่มทลาย เพราะชาวบ้านเขาพูดกันเองว่า รับเงินหมา กาเพื่อไทย ตนเชื่อว่าสิ่งนี้ยังคงเป็นความคิดคำนึง และยังเป็นสิ่งที่อยู่ในใจพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด...”
2.น่าคิดว่า ช่วงที่พรรคเพื่อไทยได้มีอำนาจเป็นรัฐบาลนั้น พรรคเพื่อไทยได้กระทำตัว หรือมีพฤติกรรมในทางอำนาจแบบประชาธิปไตย หรือเคารพความคิดเห็นของประชาชน ซื่อตรงต่อความไว้วางใจของประชาชน หรือตอบสนองต่อความต้องการของนายทุนพรรคของตนเองมากกว่ากัน?
ลองนึกถึงการผลักดันการนิรโทษกรรมสุดซอย ล้างผิดคนฆ่า-คนโกง-คนเผา ทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ แม้แต่คนเสื้อแดงเองก็ขัดเคืองใจ แต่พรรคเพื่อไทยในขณะนั้นก็เดินหน้าผลักดันร่างกฎหมายแบบลักหลับกลางดึกในสภาผู้แทนราษฎร
ลองนึกถึงการบริหารจัดการระบายข้าวจากโครงการของรัฐ ที่คนของพรรคเพื่อไทยเข้าไปยึดกุมกระทรวงพาณิชย์และกลไกการจัดการ แล้วเกิดการทุจริตระบายข้าวจีทูจีเก๊ จีทูเจี๊ยะ เกิดความเสียหายแก่แผ่นดินมหาศาล สร้างหนี้สินที่ประเทศชาติจะต้องตามชดใช้มาจนถึงวันนี้ ในขณะที่หมอโด่ง และผู้นำรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ยังคงหนีเอาตัวรอดอยู่ต่างประเทศ
ยังไม่ต้องนึกถึงอีกสารพัดกรณี
ใครกันแน่ ดูถูกประชาชน?
ใครกันแน่ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน?
3.น่าสนใจว่าคุณอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา เคยมีประสบการณ์ตรงในการทำงานร่วมกับทักษิณและพรรคไทยรักไทย (รากเหง้าของพรรคเพื่อไทย) และเคยเขียนบทความเรื่อง “ทักษิณไม่ใช่ผู้นำสำหรับระบอบประชาธิปไตย” ในหนังสือ “รู้ทันทักษิณ 4”
สะท้อนข้อเท็จจริงและมุมมองที่น่าเรียนรู้ ว่าจริงๆ แล้ว การบริหารจัดการ สส.ตลอดจนแนวทางของระบอบทักษิณนั้น เป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่?
ขออนุญาตสรุปสาระสำคัญมาบางช่วงบางตอน ที่คุณอุทัยเขียนไว้
3.1 จุดเริ่มต้นของตนกับทักษิณ อยู่ตรงช่วงรอยต่อของการเริ่มต้นใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน บังเอิญว่ามีคนมาหาตนและชวนให้สนับสนุนทักษิณ เมื่อตนนำมาเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นๆ ซึ่งขณะนั้นมีเพียง 4 คน คือ นายชวน หลีกภัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายบรรหาร ศิลปอาชา และทักษิณ เมื่อลองชั่งดูพบว่าทักษิณ หนุ่มที่สุด สดที่สุด เหมือนเครื่องยนต์ใหม่ ขนาดซีซีสูง เป็นทั้งอดีตข้าราชการ นายตำรวจ และนักธุรกิจ ขณะนั้นบ้านเมืองกำลังวิกฤติ มีการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ ทักษิณดูพร้อมเป็นอินเตอร์และจบจากเมืองนอก น่าจะนำพาประเทศไทยให้ก้าวออกไปได้ ตนจึงสนับสนุน และหลังรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมืองในอนาคตจะมีแต่พรรคการเมืองขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะอยู่ได้ เพราะประชาชนจะเริ่มให้ความสำคัญกับนโยบาย คณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะส่งเสริมพรรคการเมืองตามขนาดตามจำนวนสมาชิก ที่สำคัญหากไม่มีเงินตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาก็ไปไม่รอด
3.2 คุณอุทัยกล่าวว่า เคยพูดกับทักษิณ ทุกๆ ครั้ง ทุกๆ เรื่อง ทักษิณจะมีท่าทีรับฟังอย่างดี ไม่แย้งไม่เถียง แต่จะนำไปทำหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ
“ผมเคยตั้งคำถามตอนที่คุณทักษิณเคยประกาศว่าจะเป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่แต่ไปดึงเอากลุ่มการเมืองเก่าๆ เข้ามาสู่พรรค สงสัยว่าทำไมไม่เอาคนที่มีความคิดอ่านใหม่ๆ บริสุทธิ์ทางการเมือง แต่ไปเอากลุ่มการเมืองเข้ามาเป็นมุ้งโน้นมุ้งนี้เดี๋ยวก็มีปัญหาอีก คนสนิทของคุณทักษิณที่เป็นคนใกล้ชิดมากบอกผมว่า ถ้าเอาอย่างที่ผมว่าไม่ได้เป็นนายกฯ แน่ คิดว่ายังไงก็ให้ได้คะแนนมาก่อน เพราะความสำเร็จอยู่ที่จำนวน สส. ผมจึงคิดว่าเมื่อถือเหตุผลเรื่องเสียงข้างมาก็ไม่ว่ากัน บทบาทของเราแค่ให้คำแนะนำ”3.3 คุณอุทัยกล่าวว่า เกี่ยวกับการตรวจสอบประเด็นทุจริตของรัฐบาล เมื่อมีการอภิปรายในสภาหลายกรณีสส.ทักท้วงนำเสนอข้อเท็จจริงใหม่ๆ แต่วิปรัฐบาลก็มักดึงดันว่าพรรคส่งมาอย่างนี้ก็จะเอาอย่างนี้ให้ได้ หลายเรื่องที่งานมันเสีย แทนที่จะปรับเปลี่ยน แต่ก็ไม่ทำ ไม่ปรับแก้ เมื่อใช้มติพรรคเป็นตัวกำหนดกฎหมาย ในที่สุดก็เป็นคนไม่กี่คนที่กำหนดกฎหมาย ระบบสภาก็ไม่มีความหมาย ตนเริ่มมองเห็นถึงความไม่เป็นดังหวัง มองว่าไม่จริงใจ
เห็นว่า ทักษิณไม่ใช่ผู้นำที่จะมาปูพื้นฐานระบอบประชาธิปไตยของประเทศ ผ่านท่าทีและแนวทางของทักษิณ หลายประการ เช่น
ไม่พยายามทำพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองอย่างแท้จริง มีเงินมีโอกาสแต่ไม่มีการตั้งสาขาพรรค ตนเคยถามตรงๆ ว่าทำไมไม่จัดการตั้งสาขาพรรค ซึ่งคนในพรรคบอกว่าหัวหน้าพรรคไม่เห็นด้วย
ทักษิณไม่ให้ความสำคัญกับรัฐสภา งานสำคัญอย่างงบประมาณแผ่นดินบางครั้งก็ไม่อยู่ จะขอบใจสภาสักคำก็ไม่มี ยังไม่ต้องพูดถึงการไม่มาตอบกระทู้หรือชี้แจงข้อสงสัยของ สส. ยิ่งกว่านั้น บางทีวันประชุมสภาแท้ๆ ทักษิณหาเรื่องออกไปพบราษฎร ไม่เข้าใจว่าไปทำไมเพราะตัวแทนราษฎรอยู่ที่สภาเต็มไปหมด แต่เลือกไปพบชาวบ้าน 200-300 คน ที่ตัวเองต้องการพบ เพียงเพราะชาวบ้านเหล่านั้น เอาลูกยอกับลูกยุมาให้ ถ้าอย่างนี้จะมีสภาไปทำไม ตนเสียความรู้สึกมาก เพราะทำให้ระบบสภาไม่มีความหมาย สะท้อนสิ่งที่ ทักษิณพูดว่า ประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือของเขา
การให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแบบซีอีโอ ตนเคยบอกกับนายบวรศักดิ์ว่ามันไม่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยของเรา จะไปกันใหญ่ ดีไม่ดีจะหลงทางแล้วมันก็ไปไม่รอด ปัจจุบันมี อบจ.แล้วยังให้มีคนมีอำนาจเต็มไปสั่งการเหมือนเสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันมันจะเกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะไปรอดได้เฉพาะ 2 กรณีแรก คือ 1.เสือ 2 ตัวนั้นเป็นตัวผู้และตัวเมีย หรือ 2. เสือ 2 ตัวเป็นตัวผู้ทั้งคู่ แต่มึงมั่งกูมั่งผลัดกันคนละที
ทั้ง 3 ประการนั้น ตนเคยคุยกับทักษิณว่า นายกฯ ดูแลฝ่ายบริหารเข้าที่แล้ว เหลือแต่ฝ่ายนิติบัญญัติ ทำไมไม่เข้าไปบ้าง จะทำให้คนมองว่าเราไม่เคารพสภา เคยพูดถึงขนาดว่านายกฯมีข้อมูลข้อเท็จจริงอยู่มากมาย มาชี้แจงได้อยู่แล้ว อย่าไปมองว่าพวกลูกพรรคโง่กว่าเรา ขอตังค์เราใช้ ให้มองว่าเป็นตัวแทนประชาชนแล้วจะสบายใจ เวลาสบตา ซึ่งทักษิณก็บอกเหมือนเดิมว่า “เออ พี่ผมเห็นด้วย” หลังจากนั้นก็มาสภาครั้งเดียว และไม่เคยมาอีกเลย...
4. ปัจจุบัน เป็นผลมาจากการกระทำในอดีต
ทั้งหมดนี้ ก็ควรลองนำไปพิจารณาว่า ขณะนี้ สังคมกำลังให้บทเรียนกับใคร?
ซึ่งแน่นอน ในอนาคต สังคมก็อาจจะให้บทเรียนกับอดีต สส.ที่ย้ายพรรคหรือไม่ ก็ยังไม่อาจทราบได้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี