พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2561 ด้วยโรคมะเร็งตับสิริอายุรวม 88 ปี
กำหนดสวดพระอธิธรรมศพ ระหว่างวันที่ 21–25 มิ.ย. เวลา 19.00 น. ณ ศาลา 5 วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร (เจ้าภาพของดรับพวงหรีดทุกกรณี)
1. “นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”
บางตอนของบทประพันธ์ “กฤษณาสอนน้องคำฉันท์” วูบเข้ามาในความคิด
มนุษย์เรา เมื่อตายลงแล้ว ร่างกายหมดสิ้นไป คงเหลือไว้แต่ความดีความชั่วที่กระทำไว้ยังคงอยู่ในโลกนี้
พล.ต.อ.วสิษฐ นับเป็นนายตำรวจตงฉิน จงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุด และมีน้ำใจไมตรีต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก มีผลงานวรรณกรรมอันมีคุณค่าเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานคนไทยได้อ่านตลอดไป
2. พล.ต.อ.วสิษฐ เป็นประธานกรรมการมูลนิธิองค์กรต่อต้านคอรัปชัน (ประเทศไทย)
ในแฟนเพจของ “องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน” ได้เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ ความว่า
“...พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ และเป็นผู้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัย จนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ ก่อนจะออกมาดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายกิจการพิเศษ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในเวลาต่อมา
นอกจากนั้นท่านยังเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในปี พ.ศ. 2516 และยังเป็นเป็นสมาชิกวุฒิสภาในปีพ.ศ.2532 และปีพ.ศ. 2539 - 2543 อีกด้วย
เจ้าของฉายา “นายตำรวจตงฉิน” เริ่มจากความคิดอยากเอาคืนในวัยเด็กที่ถูกจับขังคุกเป็นเวลาหนึ่งคืนอย่างไร้เหตุผล พล.ต.อ.วสิษฐ จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นตำรวจมาตั้งแต่เยาว์วัย และสามารถเข้ารับราชการในกรมตำรวจได้สมดังใจ ก่อนจะบินลัดฟ้าไปทำงานที่สำนักงานองค์กรสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีโต้) และ ในช่วงปี พ.ศ. 2503 บ้านเมืองกำลังเผชิญปัญหาคอมมิวนิสต์ พล.ต.อ.วสิษฐ ก็ได้มาประจำการที่สถานีภูธรในภาคอีสาน เพราะต้องการแก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์ที่ลุกลามในภาคอีสาน
ด้วยชีวิตการงานที่ต้องประจำการในเขตภูธรภาคต่างๆ ทำให้ครั้งหนึ่งท่านได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระเจ้าอยู่หัวโดยไม่คาดฝัน และต่อมาทรงมีรับสั่งให้ตามเสด็จฯ และปฏิบัติหน้าที่ถวายงานเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ (ตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 จนถึงพ.ศ.2524 รวมเป็นระยะเวลาถึง 12 ปีเต็ม)
พล.ต.อ.วสิษฐเคยเล่าว่าสิ่งหนึ่งที่ตัวเองได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ตามเสด็จฯ ในหลวง คือ การได้เรียนรู้ “ธรรมะของพระเจ้าอยู่หัว”
โดยธรรมะของพระเจ้าอยู่หัว ที่พล.ต.อ.วสิษฐ ยึดถือมาโดยตลอด คือ การ “ปิดทองหลังพระ”
ครั้งหนึ่งท่านเคยได้รับพระราชทานพระเครื่ององค์หนึ่งจากในหลวง พร้อมกับพระบรมราโชวาทว่า ถ้าจะเอาไปบูชาให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดข้างหลัง เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ เวลาทำดีอย่าได้หวังรางวัล ให้ถือความสำเร็จของหน้าที่การงานเป็นรางวัลอันหมายถึงการทำงานให้ดีที่สุดโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ให้ถือความสำเร็จของหน้าที่การงานนั้นเป็นรางวัลแห่งชีวิต
ในหลวงตรัสว่า “เมื่อปิดทองไปข้างหลังเยอะๆ แล้วทองจะล้นออกมาข้างหน้าเอง”
หลังจากได้รับพระราชทานพระบรมราโชวาท ท่านก็ตั้งใจทำงานอย่างตั้งใจและซื่อตรงโดยไม่สนใจต่อความเหนื่อยยากหรือคนรอบข้างจนได้รับฉายาว่าเป็นนายตำรวจตงฉินแห่งกรมตำรวจไทย
สังคมไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญปัญหาด้านคุณธรรมอย่างฝังรากลึก โดยเฉพาะกับเรื่องค่านิยมต่อศีลธรรมจริยธรรมที่อ่อนแอลง ในฐานะอดีตตำรวจและผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง พล.ต.อ.วสิษฐ จึงมีความเป็นห่วงสังคมไทยในปัจจุบันและได้ตักเตือนคนรุ่นใหม่ว่าอย่ามุ่งสนใจแต่เพียงสิทธิเสรีภาพส่วนตัว จนหลงลืมเรื่องหน้าที่ของตนเอง ให้ตั้งใจทำสิ่งต่างๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน เฉกเช่นเดียวกับการปิดทองหลังพระ”
3. เจตจำนงที่แรงกล้าอย่างหนึ่งของ พล.ต.อ.วสิษฐ ก็คือปรารถนาจะให้เกิดการปฏิรูปกิจการตำรวจของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน และยังประโยชน์ในฐานะต้นธารของกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง
ท่านเคยรับหน้าที่อย่างมุ่งมั่น แข็งขัน ในการจัดทำข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปกิจการตำรวจ และยังแสดงความเห็น จุดยืน ทั้งร่วมกิจกรรมผลักดันให้เกิดการปฏิรูปมาโดยตลอด
แม้แต่ในยุครัฐบาล คสช. ท่านก็เคยตั้งความหวังว่า อาจจะได้เห็นการปฏิรูปตำรวจจริงๆ
ท่านเคยเขียนบทความว่าด้วยเรื่อง “ปฏิรูปตำรวจ : ยังมีหวังอยู่ ?” ความบางตอนว่า
“...ผมนึกว่าในชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เห็นการปฏิรูปตำรวจแล้ว แม้ว่าจะมีการบัญญัติเรื่องปฏิรูปตำรวจไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดเงื่อนเวลาเอาไว้ด้วยว่าจะต้องทำให้สำเร็จภายในหนึ่งปีก็ตาม ที่ผมนึกว่าจะไม่ได้เห็นก็เพราะผมรู้ว่าการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญต้องมีหลายขั้นตอน และผู้ไม่ต้องการจะให้เกิดการปฏิรูปตำรวจก็ยังอาจใช้อุบายประวิงหรือพลิกแพลงให้เนิ่นช้าออกไปได้จนกระทั่งไม่สำเร็จ
แต่เมื่อผมเห็นข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปรารภ เมื่อวันอังคารที่ผ่านไป (23 พฤษภาคม 2560) ถึงแนวทางการปฏิรูปตำรวจ ผมก็กลับมีหวังขึ้นมาอีก
นายกรัฐมนตรีปรารภว่า อยากจะให้ตำรวจเป็นตำรวจพื้นที่ โดยไปอยู่ในพื้นที่ของจังหวัด และไปอยู่ในคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จังหวัด และต้องมีความชัดเจนในเรื่องสายการบังคับบัญชาและวิธีการปฏิบัติงาน และการที่จะทำให้ตำรวจมีความสามารถมากขึ้น จะต้องกระจายอำนาจออกไป ส่วนเรื่องการสืบสวนสอบสวนและการดำเนินคดีถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรม ถ้าจบภายในจังหวัดได้ก็จะช่วยผู้ว่าราชการจังหวัดลดปัญหาที่จะเข้ามาส่วนกลาง
คำปรารภของนายกรัฐมนตรีแสดงว่าท่านตระหนักในปัญหาของตำรวจ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างซึ่งกระทบถึงกระบวนการยุติธรรมทั้ง ระบบ นายกรัฐมนตรีคงเห็นแล้วว่า ในปัจจุบันนี้การที่โครงสร้างของ สำนักงานตำรวจเป็นแบบที่รวมศูนย์เอาไว้ที่ส่วนกลางนั้นทำให้ตำรวจไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องกระจายอำนาจออกไปยังจังหวัด
โครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบันนั้นเทอะทะ และสายการบังคับบัญชายาวโดยไม่มีเหตุผล คณะกรรมการพัฒนาระบบงาน ตำรวจที่ตั้งขึ้นในสมัยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ.2549 ได้เสนอให้กระจายอำนาจลงไปยังส่วนภูมิภาค ให้ยกฐานะ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคขึ้นเป็นอธิบดีตำรวจภูธรภาค และให้ทอนอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงให้เหลือเสมือนเป็นปลัดกระทรวง โดยมิให้มีอำนาจก้าวก่ายกับงานระดับปฏิบัติการ หรืองานบริหารภายในของตำรวจภูธรภาค ตำรวจนครบาล หรือกองบัญชาการได้
ที่สำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งก็คือ คณะกรรมการพัฒนาระบบงาน ตำรวจได้เสนอให้มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจขึ้น โดยเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือส่วนราชการอื่นใด และให้คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจ รวมทั้งการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ และหากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความจริงก็ให้คณะกรรมการแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือพนักงานสอบสวน หรือผู้บังคับบัญชา ทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
การดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจได้กระทำโดยพิสดาร จนถึงขั้นร่างเป็นกฎหมายและเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ช้าเกินไปเพราะสภาถูกยุบเสียก่อน การปฏิรูปตำรวจจึงเป็นแต่เพียงฝันค้างมาจนถึงบัดนี้
ถ้าหากว่านายกรัฐมนตรีตั้งใจที่จะปฏิรูปตำรวจจริงๆ ผมก็เห็นว่า จำเป็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องใช้อำนาจ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บันดาลให้เกิดการปฏิรูปตามแนวทางที่ท่านปรารถนา แต่ถ้าหากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ คณะกรรมการ หรือ อนุกรรมการชุดใดก็ตามพิจารณาเรื่องปฏิรูปตำรวจ ผมก็เชื่อว่าคงไม่สำเร็จ เพราะความอืดอาดล่าช้าในการพิจารณาแบบคณะกรรมการ
และการปฏิรูปตำรวจก็คงจะเป็นเพียงความฝันต่อไปอีก”
ช่างน่าเสียใจ... พล.ต.อ.วสิษฐ พูดถูกต้องทุกประการ
จนถึงวันนี้ การปฏิรูปตำรวจยังไม่เกิดขึ้นจริง
แม้ล่าสุด นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์จะให้ อ.มีชัย ฤชุพันธุ์ เร่งดำเนินการยกร่างกฎหมายให้เกิดการปฏิรูปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง แต่ก็ยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้น
พล.ต.อ.วสิษฐ ท่านจากเราไปเสียแล้ว โดยที่ยังไม่ทันได้เห็นผลลัพธ์บั้นปลายว่าจะออกมาอย่างไร
คิดถึง พล.ต.อ.วสิษฐ... อย่างเห็นการปฏิรูปตำรวจ...
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี