ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเป็นแขกของรัฐบาลเกาหลีเหนือถึงสองครั้ง ครั้งแรกไปกับคณะอาจารย์ธรรมศาสตร์ที่มีศาสตราจารย์นายแพทย์กวี ทังสุบุตร เป็นหัวหน้าคณะ
ครั้งที่สองในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทยที่มี ฯพณฯ มารุต บุนนาค ประธานรัฐสภาเป็นหัวหน้าคณะได้มีโอกาสที่หาได้ยากกล่าวคือได้รับอนุญาตไปที่เส้นขนานที่ ๓๘ พันมุนจอม อันเป็นสถานที่เดียวที่สองผู้นำเกาหลีเหนือและใต้ คือ“คิม จอง อึน(KIM JONG UN)” และ “มุน แจ อิน(MOON JAE IN)” จับมือจูงกันเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๑เดินข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสองประเทศที่สหรัฐอเมริกาได้สร้างรอยด่างไว้ในสงครามเกาหลี และไม่ว่าใครไม่อาจที่จะข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ ไปฝั่งประเทศเกาหลีใต้และข้ามมาเกาหลีเหนือได้โดยเด็ดขาด
อีกสถานที่หนึ่งคือหอคอย “จูเช” ที่ได้มีคำอธิบายถึงปรัชญา “จูเช” จะได้กล่าวถึงต่อไปในบทความวันนี้
ฯพณฯ มารุต บุนนาค และผู้เขียนเยี่ยมชมหอคอย “จูเช”
การไปทั้งสองครั้งแม้จะมีฐานะที่แตกต่างกันและระยะเวลาห่างกันมาก แต่ผู้เขียนก็มีความประทับใจและไม่ประทับใจในหลายเรื่องที่มีโอกาสได้พบเห็น
ที่ประทับใจคงมิใช่สถานที่พักในพระราชวังเดิม การเลี้ยงรับรองอาหารที่ดีเลิศ แต่เป็นเรื่องความรู้สึกที่จริงใจ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเคยส่งทหารไปช่วยเกาหลีใต้ตามนโยบายกดดันของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ แต่ขณะนั้นได้มีนักศึกษาธรรมศาสตร์และประชาชนชาวไทยจำนวนหนึ่งที่มีชื่อว่า “องค์การสันติภาพแห่งประเทศไทย” ได้ร่วมกันคัดค้านไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จะส่งกำลังทหารเรือและทหารอากาศไปร่วมปฏิบัติการกับองค์การสหประชาชาติในสงครามเกาหลีโดยเรียกร้องให้ประเทศไทยวางตนเป็นกลาง หัวหน้านักศึกษาธรรมศาสตร์ผู้หนึ่งที่ร่วมคัดค้านคือ นายเปลื้อง วรรณศรีและนายมารุต บุนนาค ที่ท่านมารุตก็ได้มาเล่าให้ฟังอีกครั้งหนึ่งถึงการคัดค้านดังกล่าวในวันพิธีเปิดห้อง “ศาลจำลอง มารุต บุนนาค” ที่คณะนิติศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๓๐ น. ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองแม้จะไม่มีรายละเอียดมาก แต่ถือเป็น “มุขปาฐะ” ที่จะต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยและชาวธรรมศาสตร์ที่ควรจะต้องรับรู้วีรกรรมที่กล้าหาญเรื่องนี้ไว้และอาจจากอนิสงส์นี้เองที่ “คิม อิล ซุง” ผู้นำสูงสุดคนแรกจึงได้ให้การต้อนรับคณะผู้แทนไทยจากธรรมศาสตร์และผู้แทนรัฐสภาไทยที่มีท่านมารุต บุนนาค เป็นหัวหน้าคณะอย่างอบอุ่นเหมือนญาติสนิทดังสุภาษิตของไทยที่ว่า
“แม้ไม่ใช่ชาติ ไม่ใช่เชื้อถ้าได้เอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้ออาตมา”
ก็เพราะท่านมารุต บุนนาค เป็นผู้หนึ่งที่คัดค้านการที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ส่งทหารไปช่วยเกาหลีใต้รบเกาหลีเหนือ
ส่วนที่ไม่ประทับใจก็คือการขาดความอิสระที่ไม่อาจจะเดินไปเที่ยวที่ไหนๆ พบพูดคุยกับชาวบ้านได้ถ้าไม่มีทหารติดตามดูแลไปด้วย และที่สำคัญความยากจนของประชาชนขอเกาหลีเหนือ เพราะต้องมีความจำเป็นนำงบประมาณส่วนใหญ่มาสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร เช่น อาวุธนิวเคลียร์ ไว้คานมหาอำนาจอเมริกากล่าวคือ “เมื่อขู่มาก็ขู่กลับไป” เกาหลีเหนือจึงมีความจำเป็นต้องสร้างอาวุธให้ทันสมัยซึ่งตรงกับพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ที่พระราชทานไว้ว่า “...แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ....” ที่อาจจะต้องเปลี่ยนไปเป็นความใหม่ว่า “แม้หวังตั้งสงบและไม่ให้ประชาชนยากจน จงลดกำลังรบให้พร้อมสรรพ”ที่รวมถึงประเทศไทยด้วย
สำหรับผู้เขียนสนใจเป็นพิเศษในปรัชญา “จูเช” ของเกาหลีเหนือตั้งแต่เมื่อได้มีโอกาสไปเยี่ยมหอ “จูเช” (JUCHE) ที่เป็นอุดมคติของประเทศที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญที่อดีตประธานาธิบดี “คิม อิล ซุง” ได้บัญญัติลัทธิหรือปรัชญา “จูเช” (JUCHE) ขึ้นเมื่อ ๒๖ ธันวาคม ๒๔๙๘ ที่เกิดขึ้นหลังสงครามเกาหลีและประเทศได้ถูกแบ่งแยกเป็นสองประเทศแล้ว
คำว่า “จูเช”เป็นคำศัพท์ผสม “จีน-เกาหลี” ที่ยากจะแปลความหมายได้ชัดเจน ตามตัวอักษรหมายถึง “อัตวิสัย” หรือ “ตัวแทน” และในวาทกรรมทางการเมืองมีความหมายโดยนัยของการ “พึ่งพาตนเอง”และ ความเป็น “อิสระ” การอ้างอิงเพื่อความเข้าใจโดยคำแถลงของ “คิม อิล ซุง” ในฐานะอุดมการณ์ของเกาหลีเหนือ ในหัวข้อว่า “บนการกำจัดลัทธิและความเป็นพิธีของการสถาปนา “จูเช”
มี ๓ ประการ ดังนี้
๑.เอกราชทางการเมืองอย่างแท้จริง
๒.การพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ
๓.การพึ่งพาตนเองในการป้องกันประเทศ
ลัทธิหรือปรัชญา “จูเช” จึงเป็นอุดมการณ์หลักของเกาหลีเหนือมาโดยตลอดและได้นำไปบัญญัติไว้ในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญ เมื่อ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๘ เรียกว่า “immortal Juche idia” มีการแก้ไขให้สมบูรณ์เมื่อ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๕ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ยังใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบันที่มี “คิม จอง อึน”เป็นผู้นำรุ่นหลานของ “คิม อิล ซุง”
แต่ ณ บัดนี้ วันนี้ คิม จอง อึน (KIM JONG UN) ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลกดังที่ทราบกันแล้วทั่วโลกได้เริ่มเปิดประเทศจากที่เป็นประเทศปิดมาตลอดตั้งแต่ปกครองโดย “คิม อิล ซุง” ผู้นำสูงสุดคนแรก
ด้วยการไปจับมือกับประธานาธิบดี “โดนัลด์ เจ ทรัมป์”แห่งสหรัฐอเมริกา มีแถลงการณ์ร่วม ๔ ข้อที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ สดๆ ร้อนๆ นี้เอง คือ
๑.จะสถาปนาความสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง
๒.ร่วมกันสร้างสันติภาพถาวรบนคาบสมุทรเกาหลี
๓.ย้ำจุดยืนใน “ปฏิญญาปันมุนจอม” ในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ออกจากคาบสมุทรเกาหลี และ
๔.จะค้นหาศพของเชลยศึกและชาวอเมริกันที่สูญหายในสงครามเกาหลี
“ปรัชญา จูเช” ที่ผู้นำสูงสุดคนแรกคือ “คิม อิล ซุง”กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญและให้เป็น “Immortal Juche Idiaด้วย คงจะไม่เป็น “IMMORTAL” ต่อไปในสมัย “คิม จอง อึน”ผู้เป็นหลาน แล้ว
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
หมายเหตุ ขอเชิญร่วมงาน ๘๖ ปี “การอภิวัฒน์ประชาธิปไตยสยาม ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕” เล่าความทรงจำการอภิวัฒน์ประชาธิปไตยสยาม โดย พ.ต.พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา บุตรชาย พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรณ สวนครูองุ่น มาลิก ทองหล่อ ซอย ๓ สุขุมวิท ๕๕ติดอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ เวลา ๑๓.๐๐ น.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี