กลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่โต้เถียงกันไม่จบ นั่นคือเรื่อง “โทษประหาร...ควรมีหรือไม่” หลังกรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการบังคับคดี ประหารนายมิก หลังจากว่างเว้นการประหารนักโทษเด็ดขาดมานานถึง 9 ปี
ฝ่ายหนึ่งมองว่า ประหารไป สถิติการก่ออาชญากรรมก็ไม่ได้ลดลง ป่าเถื่อน ล้าหลัง ละเมิดสิทธิในการมีชีวิตของเขา พวกหนึ่งก็บอกว่า แล้วคนที่ถูกฆ่านั่นล่ะ เขาไม่มีสิทธิในชีวิตของเขาหรือ ดีแล้ว ที่ประหารไปซะ หนึ่งชีวิตชดใช้ให้หนึ่งชีวิต ตายสบายกว่าด้วย ยังจะโอดครวญอะไรอีก
ผมเองก็ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ผ่านเฟซบุ๊ค“ปู-จิตกร บุษบา” ซึ่งมีคนเข้าถึงข้อความนี้ 2,457,674 คน มีทั้งกดแสดงความรู้สึก แสดงความคิดเห็น แชร์ และเพียงแต่อ่านเฉยๆสภาพของสื่อสังคมออนไลน์ทั่วไป โดยผมโพสต์ข้อความไว้ว่า
“ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เขาก็ประหารชีวิตเลย นักโทษประหารคนนี้ แทงนักเรียนชายผู้ตายไป 24 แผลเพื่อชิงทรัพย์ เขาวิ่งหนีแล้ว ก็ยังตามไปแทง มีประวัติติดตัวเป็นหางว่าว
จากนั้นเขาถูกจับกุม ดำเนินคดี ใช้สิทธิในการต่อสู้คดีถึง 3 ศาล ซึ่งไม่ใช่ตัดสินกันในวันสองวัน แต่ใช้เวลานานหลายปี
โดยศาลทั้งสามพิพากษาตรงกันคือ ประหารชีวิต ซึ่งเป็นโทษที่อยู่ในตัวบทกฎหมาย
เมื่อศาลพิพากษาประหารชีวิตแล้ว ราชทัณฑ์ก็มิได้บังคับคดีตามที่ศาลพิพากษาในทันที เขาถูกคุมขังอยู่ในแดนนักโทษประหารอีกหลายปี กว่าที่ราชทัณฑ์จะลงมือบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาล
กระบวนการลงโทษจึงไม่ได้ใช้อารมณ์ในการตัดสิน ไม่ใช่การแก้แค้นให้ตกตายไปตามกัน แต่เป็นกติกาในการอยู่ร่วมกัน ด้วยหลัก “ไม่มีใครควรตาย” อย่างที่ฝ่ายคัดค้านโทษประหารใช้เป็นเหตุอยู่ในตอนนี้แหละ
ในรายนี้ สืบสาวไปตั้งแต่ต้น จะเห็นว่า เขาไม่ได้ฆ่าคนเพราะบันดาลโทสะ เพราะต่อสู้ป้องกันตัว หรือเพราะรักษาสิทธิที่จะมีชีวิตของเขา แต่มีสติสัมปชัญญะปกติ ทว่าฆ่าคนชิงทรัพย์ด้วยวิธีการที่อำมหิต
ขณะที่ยามสิ้นชีวิตของเขา เขาได้รับยาสามเข็ม ที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย สมองหยุดทำงาน และหัวใจหยุดเต้นโดย
ไม่ทุกข์ทรมาน อันเป็นการคำนึงถึง “มนุษยธรรม” ในการประหารแล้ว
โทษนี้มีอยู่ในกฎหมาย รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทุกคนต้องรู้และเคารพกฎหมาย เมื่อคุณทำผิดกฎหมาย และได้ใช้สิทธิต่อสู้คดีครบถ้วนแล้ว อยู่ในการพิจารณาของกรมราชทัณฑ์มาหลายปีแล้ว การต้องถูกประหารชีวิตตามการบังคับโทษ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่คือความปลอดภัยของการอยู่ร่วมกันภายใต้กติกานี้
ส่วนพ่อแม่ พี่น้อง ก็ต้องโศกเศร้าเป็นธรรมดา สื่อไม่ควรนำมาเป็นเรื่องดราม่า ให้คนด่าทอไล่ล่ากันอยู่ในโซเชียลมีเดีย อย่าปลุกสัญชาตญาณสัตว์ในตัวคน แต่จงปลุกความเมตตา เห็นใจ และใช้เหตุผลต่อกัน สอนกันอย่างธรรมดาๆ ว่า ลูกเธอตายเธอยังเสียใจ แล้วพ่อแม่ของเด็กคนที่ลูกเธอฆ่าล่ะ เขาตายโดยไม่มีกระบวนการให้ต่อสู้ก่อนมีคำพิพากษา เป็นลูกเธอคนเดียวที่จ้วงมีดกระหน่ำแทงเขาจนขาดใจตาย ใครควรได้รับความสงสารและเห็นใจมากกว่ากัน
นักโทษที่ถูกประหารเป็นฆาตกร ได้รับโทษแล้ว ก็จบกันนะ อย่าไปลากพ่อแม่พี่น้องที่พูดจาในยามสะเทือนใจมาเป็นเหยื่อของสังคมโซเชียลมีเดียกันต่อไปเลย จบเถอะ...เขาไม่ได้ฆ่าใคร เขาแค่จมอยู่กับความรู้สึกสูญเสียของเขา เขาคิดได้แค่นี้ในห้วงทุกข์ เขาเห็นแต่ความสูญเสียของเขา คุณซึ่งมีสติสัมปชัญญะมากกว่า ก็อย่าไปไล่ล่าให้เขาต้องรีบสำนึกสำเหนียกในยามนี้เลย หยุดเถอะ ฆาตกรออนไลน์!!”
ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ จะใช้เพียง “ความรู้สึก” ไม่ได้ เพราะทุกชีวิต ไม่มีใครอยากให้สูญเสีย เพราะทุกชีวิต ไม่มากก็น้อย ย่อมต้องมีคนที่รักเขาและเขารัก คนเหล่านั้นควรได้อยู่ด้วยกันจนกว่าจะสิ้นอายุขัยไปเองตามธรรมชาติ
แต่ในโลกของความเป็นจริง มนุษย์มีการเข่นฆ่า เบียดเบียน และทำร้ายกัน ดังนั้น เพื่อให้การอยู่ร่วมกันเป็นปกติสุข ก็ย่อมต้องมีกติกาที่เข้าใจตรงกัน ยึดถือ และหากละเมิด ก็มี “กระบวนการพิจารณาการกระทำ” ว่าถูกหรือผิด ซึ่งหากผิด โทษที่ต้องรับก็มีบทบัญญัติรองรับอยู่แล้ว ว่าความผิดฐานใด มีโทษสถานใดบ้าง
จึงได้โพสต์ข้อความต่อมาในหัวข้อ “เถียงกันทำไมนักหนา” โดยระบุว่า...
“ควรมี “โทษประหาร” หรือไม่มี จะเถียงกันทำไมนักหนา โดยเฉพาะเถียงกันเพื่อจะเอาชนะ ไม่ใช่เพื่อจะแก้ปัญหา
ก่อนจะไปเถียงกันเรื่องควรมีโทษประหารหรือไม่ ควรต้องมาศึกษาร่วมกันว่า มีนักโทษที่ต้องคำพิพากษาประหารชีวิตอยู่กี่ราย ทำไมเขาจึงต้องโทษสูงสุดนี้ พฤติกรรมของเขาเป็นอย่างไร เขาทำผิดอะไรมา คำพิพากษาของศาลท่านว่าอย่างไรบ้าง และท้ายที่สุด มีกี่ราย ที่ถูกประหารจริงๆ
เห็นถกเถียงกันด้วย “ความเห็นส่วนตัว” กันทั้งนั้น ไม่ได้มองกันตาม “วิธีพิจารณาความ” ของกฎหมายเลย เวลาตัดสินในศาล เขาตัดสินด้วย “ความเห็น” หรือ “ความรู้สึก” อย่างที่เถียงๆ กันอยู่นี่หรือเปล่า เปล่าเลย ผมถึงบอกว่า ไอ้ที่เถียงๆ กันอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์นี่ โคตรเปล่าประโยชน์เลย
มีโทษประหารหรือไม่ควรมี เป็นเรื่องปลายทางสุดๆ ต้นทางคือ มนุษย์ไม่ควรทำชั่ว ทำผิด เบียดเบียนกัน ทำร้ายกัน ข่มขืนกัน หรือฆ่ากันส่งๆ เดชๆ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องมี “กฎหมาย” ไว้เป็น “กติกาในการอยู่ร่วมกัน” จะอยู่แบบสังคมป่าเถื่อนด้วยตรรกะ “ชีวิตแลกด้วยชีวิต” หรือ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” คงไม่ได้ นี่เป็นสังคมมนุษย์ พัฒนากติกาในการอยู่ร่วมกันมาหลายพันปีแล้ว อย่าย้อนกลับไปเป็นสังคมล่าสัตว์กันขนาดนั้นเลย
เมื่อมีบทบัญญัติ หรือกติกาที่เรียกว่า กฎหมายแล้ว ถามว่าเราเข้าใจกฎหมาย และมองในมุมกฎหมายกันเป็นหรือยัง
ประหารหรือไม่ประหาร ไม่สำคัญเท่ากับตัวบทกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ก่อนนำไปสู่
คำตัดสินนั้น
ผมนั้นโน้มเอียงไปในทางให้มีบทลงโทษสูงสุด คือ ประหารชีวิต ไว้ในกฎหมายต่อไปนั่นแหละ ไม่มีใครเดือดร้อนอะไรหรอก เพราะอะไร เพราะเมื่อดูกระบวนการยุติธรรมแล้ว ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะประหารใคร แบบที่นักสิทธิมนุษยชนประสาทเสียกันอยู่ตอนนี้ หรือตามที่แอมเนสตี้เรียกร้องกันอยู่นั่น
กระบวนการยุติธรรม เปิดโอกาสให้ต่อสู้หักล้างข้อกล่าวหากันอย่างเต็มที่ เพียงแต่ปัญหาที่ยังมีอยู่ คือ เราไม่ได้สร้างเครื่องมือสนับสนุนให้คนทุกชนชั้น ทุกฐานะ มีโอกาสสู้ได้เต็มที่ เราจึงเห็นปรากฏการณ์ “คุกมีไว้ขังคนจน” คือ คนจนติดคุกเยอะกว่าคนมีเงิน แต่ไม่ใช่ว่าคนมีเงิน มีอิทธิพล จะไม่ติดคุกเลย มันก็ไม่ได้สุดโต่งเสียขนาดนั้น
พอดีว่า คนจนมักเป็นคนที่ขาดความรู้ที่จะต่อสู้ตามกฎหมาย ขาดเงิน และรู้สึกเป็นเบี้ยล่าง ยอมรับสภาพง่าย คิดว่าเป็นกรรม โจทย์ที่ต้องแก้คือ ทำอย่างไร ให้ทุกคนมีโอกาสสู้ได้เท่าๆ กัน หรือให้เขาสู้ได้ มากกว่าที่เป็นอยู่ และการต่อสู้ ต้องนำไปสู่การพิสูจน์ความจริงว่า ไม่ได้ตัดสิน “แพะ” อย่างแน่นอน หากกระบวนการพิจารณาคดีและตัดสิน มันแน่ใจได้ว่าไม่ลงโทษผิดคน หรือลงโทษผู้บริสุทธิ์แน่ๆ จะบัญญัติโทษใดไว้ในกฎหมายก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว
มันจึงต้องกลับมาสังคายนากันให้แน่ใจอีกครั้ง ตั้งแต่กระบวนการจับกุม คุมขัง ทำสำนวน การสอบสวน การเก็บ
หลักฐาน การสอบและคุ้มครองพยาน ที่เป็นธรรมและครบถ้วนตั้งแต่ต้นทางไงล่ะ ขณะที่แอมเนสตี้กับเครือญาติทางปัญญาเดียวกันทั้งหลายนั้น พึงหันมารณรงค์เรื่องความเท่าเทียมของสิทธิต่อสู้ หรือลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายของการสู้คดี เพื่อให้คนจนเข้าถึงสิทธิการต่อสู้จะมีประโยชน์กว่าหลายล้านเท่า
ทีนี้มาดูกระบวนการในกฎหมายและศาลกัน มันมีกระบวนการ “พิสูจน์เจตนา” รวมอยู่ด้วย เช่น ฆ่าคน ฆ่าเพราะอะไร เพราะบันดาลโทสะ เพราะประมาท วางแผนไว้ก่อน ไตร่ตรองไว้ก่อน เตรียมการไว้ก่อน กระทำโดยอำมหิต กระทำเพื่อปกปิดอำพรางให้ตนพ้นผิด ฯลฯ สารพัดที่กฎหมายและศาลจะค่อยๆ พิจารณา ทั้ง “กรรม” คือการกระทำ และ “เจตนา” ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำ แล้วกำหนดโทษอย่างถี่ถ้วนในแต่ละกรณี จะคิดง่ายๆ ว่าฆ่าใครตายก็ต้องตายตามไม่ได้ เพราะบางที ผลักอกกันไป ผลักอกกันมา อีกคนหนึ่งพลาด ล้มหัวฟาดฟื้น ตาย อย่างนี้ประหารอีกคนให้ตายตามกันไปเลย จะไหวหรือ?
ข่มขืนก็เหมือนกัน กระบวนการของศาลและกฎหมาย จำแนกไว้ละเอียดยิบ หลายพฤติการณ์ หลายนิยาม และหลายบทลงโทษ ซึ่งแน่นอนว่า หากข่มขืนแล้วฆ่า กฎหมายบัญญัติโทษสูงสุด คือ ประหารชีวิตอยู่แล้ว แต่จะใช้สมการ ข่มขืน = ประหาร โดยไม่จำแนกรายละเอียดของพฤติการณ์ในคดีก็ไม่ได้ เพราะบางทีเด็กมันรักกันชอบกันมาก่อน วันหนึ่งมันไม่ชอบกัน
ก็ไปแจ้งความว่าถูกข่มขืน อย่างนี้ไม่ต้องประหาร หรือตัดจู๋กันอย่างที่มีบางคนออกมาเสนออยู่ดะไปหมดหรอกครับ แต่มันมีบทลงโทษอื่นๆ อยู่ ตามกรรมและเจตนา กฎหมายไม่ได้มักง่าย หากเราเข้าใจมัน ความกลัว ความเกลียด ตลอดจนความไม่รู้อะไรนักแต่รู้สึกเยอะมาก ก็จะลดลงด้วย โทษประหารจึงมีในกฎหมาย แต่มีกับบางเงื่อนไข และกว่าจะตัดสินประหาร ก็ไม่ง่ายเหมือนศาลเตี้ยออนไลน์อย่างที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคย และกระโจนเข้าร่วมวงกันอยู่
นอกจากนี้ ยังมีกระบวนการ “ลดหย่อนผ่อนโทษ” อีกมากมาย หมายให้เขายังอยู่ สำนึก และเปลี่ยนแปลง นี่ก็เป็นหนึ่งในกระบวนการ “รักษาชีวิตผู้กระทำความผิด” เข่นกัน เช่น หากจำเลยรับสารภาพ ให้ความร่วมมือ จนคลี่คลายคดี นำไปสู่การให้ความเป็นธรรมและการลงโทษคนผิดได้ง่ายขึ้น ก็มีการลดโทษให้ เว้นเสียแต่สารภาพเพราะจำนนด้วยหลักฐาน นี่ก็เป็นมาตรการ “ไว้ชีวิต” ที่หลายคนยังตะขิดตะขวงใจด้วยซ้ำไป ว่าไปลดโทษให้มันทำไม แต่กฎหมายถือว่า ความร่วมมือช่วยให้คดีจบเร็ว ความยุติธรรมที่เหยื่อควรได้รับ ได้รับเร็วขึ้น เช่น จำเลยสารภาพเองเลย ว่าอาวุธที่ใช้ฆ่าอยู่ที่ไหน ซึ่งบางคดี เจ้าหน้าที่หาเองไม่เจอ ก็ขาดวัตถุพยานมัดตัวในศาล อาจทำให้หลุดคดีได้ด้วยซ้ำไป นี่คือวิธีของกฎหมาย ที่เราต้องรู้ให้มากขึ้น จะได้ใช้อารมณ์ความรู้สึกให้น้อยลง
ในการสู้คดี ก็ให้สู้ได้ถึง 3 ศาล ทอดเวลาในการหาพยาน หลักฐาน เวลาในการสำนึก เวลาในการ “ให้ความเป็นธรรม” ไม่ใช่ก่อคดีวันนี้ อีก 5 วัน 7 วันตัดสิน แล้วลงโทษทันที
หรือแม้เมื่อสิ้นสุดคำพิพากษาของศาลแล้ว ก็ยังเข้าสู่กระบวนการของราชทัณฑ์อีก ตั้งแต่แจ้งสิทธิให้ทราบว่า มีกระบวนการยื่นถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ มีการจำขังรอการบังคับโทษ มีการลดหย่อนผ่อนโทษลงในกรณีต่างๆ อีกมากมาย นักโทษจึงไม่ได้ถูกประหารง่ายๆ
เพียงแต่ปัญหาที่มีอยู่คือ กระบวนการจำขังและกระบวนการอื่นๆ ของราชทัณฑ์ ไม่ใช่หลักประกันว่าคนคนนั้นจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ 100% เราจึงเห็นผู้พ้นโทษหลายคนก่อเหตุซ้ำ แต่ก็ต้องคิดให้ดี ก่อนอ้างคนกลุ่มนี้ เพื่อประหารหมดทุกคน ทุกรายไป แบบที่หลายคนใช้อ้างระหว่างถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงอยู่ในตอนนี้
คน-ไม่มีใครเหมือนกันเลย บางคนกลับตัวกลับใจได้เมื่อได้รับโอกาส โอกาสจึงสำคัญมาก และเราเห็นชัดว่า กระบวนการของประเทศไทยมีขั้นตอนของการ “ให้โอกาส” แล้ว ยังเหลือแต่สังคมที่ต้องมีส่วนในการ “ให้โอกาส” ด้วย
ด้วยประการทั้งหมดที่กล่าวมา การทุ่มเถียงกันว่า โทษประหารต้องมีหรือไม่ต้องมี มันจึงเป็นการรวบรัดตัดความไป เป็นการถกเถียงกันที่ขาดสติ และข้ามขั้นตอนอื่นๆ ไปอีกมากมายหลายประการเหลือเกิน
ก่อนจะหาคำตอบว่าประหารหรือไม่ประหาร ดูกระบวนการทั้งหมดที่ผมกล่าวมา จะพบว่า บางที “คำตอบสุดท้าย” ไม่ได้สำคัญไปกว่า การหา “คำตอบแรกๆ ให้เจอก่อน” เลยสักนิด”
อันนั้นคือที่ผมโพสต์ไว้ และขอเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า ข้อเสนอที่บอกให้หันมาให้ความสำคัญกับการเยียวยาเหยื่อและครอบครัว อันนี้ดี เพราะเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยัง “พร่องไป” ในกระบวนการปัจจุบัน หากเราเลือกหลักเมตตาธรรมที่จะให้คนก่อกรรมได้เปลี่ยนตัวเอง ได้สำนึก ได้ใช้ชีวิตที่เหลือให้ดีกว่าเดิม เราก็ต้อง “ให้” แก่ฝ่ายที่สูญเสียให้มากกว่าเดิมด้วย และสร้างความเข้าใจในหลักการแก่ผู้คนที่ไปออกันอยู่ในโลกออนไลน์อย่างบุ่มบ่ามเพราะ “รักความเป็นธรรรม” มากมายนั้นด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี