เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นความห่วงใยที่เห็นสื่อจากหลายแนวคิด ได้แสดงความคิดเห็นกันไว้ ห่วงว่า การเมือง และการเลือกตั้งในระบบปัจจุบัน (Parliamentarian Democracy)
จะทำให้คนไทยต้องแตกแยกกันมากขึ้น จนเข้าสู่ภาวะต้องรบราฆ่าฟันกันเอง หรือที่เรียกว่า “สงครามกลางเมือง” (Civil War)
ระบบ Parliamentarian Democracy เปิดโอกาสให้ผู้อยู่ในอำนาจนิติบัญญัติ (สส. และ สว.) เข้าไปใช้อำนาจบริหาร (โดยการเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ) ได้ด้วย ก่อให้เกิด
ความไม่สมดุลระหว่างอำนาจทั้งสาม (ตุลาการ นิติบัญญัติ บริหาร) เป็นที่มาแห่ง
- รัฐบาลที่ล้มลุกคลุกคลาน ไม่มีเสถียรภาพ ดังที่พิสูจน์แล้วในประเทศไทย 86 ปี 61 รัฐบาล มีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ การพัฒนาบ้านเมืองทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคมยังไม่บรรลุเป้าหมาย ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน ขาดระเบียบวินัย ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ฯลฯ
- การคอร์รัปชั่นระบาดแพร่หลาย ทุกหย่อมหญ้า แก้ไม่หาย เพราะไม่ได้แก้ที่ต้นตอ หรือที่มา ของการคอร์รัปชั่น
ระบอบประชาธิปไตยปัจจุบัน เอื้ออำนวยให้ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติต้องซื้อเสียงจากประชาชน หรือใช้อิทธิพลบังคับให้ลงคะแนนให้ตน แล้วต้องมาใช้เงิน หรือตำแหน่ง “ดูด” สส. เพื่อการสนับสนุนพรรคของตน แล้วเข้าไปเป็นข้าราชการการเมือง (นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขานุการ รมต. ฯลฯ) โดยเป็นนายข้าราชการประจำ และพนักงานของรัฐอื่น เป็นการเอื้ออำนวยให้บุคคลเหล่านั้น ต้องประสานประโยชน์กับนักการเมืองบ้าง เอาอย่างโดย โกงเสียเองบ้าง จริยธรรมเสื่อมทรามกันไปหมด
นักวิชาการจาก Kellogg College จึงกล่าวว่า ที่ประเทศจีนประสบความสำเร็จมายืนอยู่ในอันดับแนวหน้าได้ในขณะนี้ ก็เพราะนโยบาย “สี่เลี่ยง สามเลียน (แบบ)” (Four avoids and three imitations)
หนึ่งของสิ่งที่ควรเลี่ยงก็คือ หลีกเลี่ยงประชาธิปไตยที่ยุ่งเหยิงระบบในอินเดีย (Parliamentarian Democracy เช่นกัน) ซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่ และมีประชากรจำนวนมากเช่นเดียวกับจีน แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นได้ ความขัดแย้งในสังคมยิ่งรุนแรงจากการต่อสู้ของการเมือง รัฐบาลไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นเหตุการณ์ในมาเลเซียซึ่งเป็นระบบ Parliamentarian Democracy ก็เอื้อประโยชน์นี้ให้อดีตนายกรัฐมนตรี (หัวหน้าพรรคการเมือง) โกงเงินของรัฐไปเป็นจำนวนมหาศาล และการคอร์รัปชั่นแพร่ระบาด จนคนสูงอายุวัย 92 ปี ต้องกระโดดลงสนาม มาขับไล่รัฐบาลเก่าออก แต่เคราะห์ดีที่ยังไม่มีการแบ่งแยกสี แยกฝ่าย จนถึงกับมีสงครามการเมือง
ประเทศไทยก็เช่นกัน ผลลัพธ์ได้พิสูจน์แล้ว (Proven results) ของการเมืองไทยในระบบ Parliamentarian Democracy ก็คือมีรัฐบาลอายุสั้นมากมาย มีคอร์รัปชั่นระบาดทั่วทุกวงการ จน นักเรียนต้องกินขนมจีนกับน้ำปลา จนข้าราชการบางหน่วยเอาเงินพัฒนาวัดเข้ากระเป๋าตนเอง และอีกมากมาย จนมีคนชวนให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ มาเอาปี๊บคลุมหัวเดินกันดีกว่า (แนวหน้าฉบับประจำวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2561)
การแตกแยก แบ่งพวกแบ่งสี มิใช่แต่จะเกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเท่านั้น แต่อาจนำไปสู่การปกครองโดยประชาธิปไตยระบบอื่นได้ด้วย อันได้แก่ Presidential Democracy และ Semi Presidential Democracy
เราต้องการระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ดังนั้น จึงต้องหาทางสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาอีก 1 ระบบ ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่า ประชาธิปไตยแบบมืออาชีพ (หรือ Professional Democracy)
ประชาธิปไตยแบบใหม่นี้ จะใช้วิธีการเข้าสู่อำนาจบริหารเช่นเดียวกับการเข้าสู่อำนาจตุลาการ คือโดยการได้นักตุลาการมืออาชีพ เข้าสู่อำนาจตุลาการ
และได้นักบริหารมืออาชีพ เข้าสู่อำนาจบริหาร แทนปวงชนชาวไทยทั้งมวล
โดยยังมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของประเทศอยู่ต่อไป เพื่อรักษาประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศไทยไว้
เพื่อเทิดทูนความดี และความเสียสละของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนั้น ประชาชนทุกคนยังมีสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมกัน ในการเข้าสู้อำนาจทั้งสาม กล่าวคือ
ประชาชนที่ต้องการเข้าสู่อำนาจตุลาการ ก็ต้องไปเรียนกฎหมายอันเป็นความจำเป็นพื้นฐานเสียก่อน แล้วผ่านการกลั่นกรอง การอบรมบ่มนิสัย (grooming) ให้เป็นนักตุลาการที่ดีมีคุณธรรม แล้วจึงก้าวเข้าสู่อำนาจตุลาการ โดยการแข่งขันที่ยุติธรรม เสมอภาค และโปร่งใส เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเลือกตั้ง (electoral body) ของอำนาจตุลาการก่อน เพื่อไปเลือกคณะกรรมการตุลาการของชาติต่อไป
ประชาชนที่ต้องการเข้าสู่อำนาจบริหาร ก็มีสิทธิเท่าเทียมกันทุกคน ท่านก็ต้องไปเรียนจบวิชาการแขนงต่างๆ ที่ตนชอบ แล้วมาทำงานรัฐกิจ หรือธุรกิจ หรือประชากิจ ผ่านการกลั่นกรอง และการทดสอบความสามารถ จนได้เป็นนักบริหารมืออาชีพในองค์กรของตน จากนั้น จึงมีสิทธิเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเลือกตั้ง (electoral body) ของอำนาจบริหาร มีสิทธิเลือก และมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ได้
หลิวเฮ่อ คู่บารมีของสี่ จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน จึงกล่าวว่า “จีนไม่อาจเดินตามเส้นทางประชาธิปไตยแบบตะวันตก เสถียรภาพทางการเมือง (ของรัฐบาล) คือ เงื่อนไขสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจจีน”
สำนักข่าวทางราชการของจีน ซึ่งสะท้อนนโยบายจีน เคยเขียนไว้ว่า “เราไปหลงใช้ระบอบประชาธิปไตย แบบชาติตะวันตก มาช้านาน ซึ่งไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมตะวันออก ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย มีการแบ่งแยกออกเป็นหมู่เป็นเหล่า เป็นพรรคเป็นพวก มีการคอร์รัปชั่นอย่างรุนแรง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และของพรรค มากกว่าของชาติ จนชาติแตกสลาย”
การให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ที่จะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไปใช้อำนาจตุลาการ และอำนาจบริหาร โดยผ่านขั้นตอนทั้งกลั่นกรอง คัดเลือก มีการทดสอบความรู้ แสดงวิสัยทัศน์ จนอาจต้องผ่านการอบรมด้วย จนแน่ใจว่ามีพื้นฐานทางด้านตุลาการ และด้านบริหารเป็นอย่างดีแล้ว จึงจะเป็นสมาชิกองค์กรเลือกตั้ง (electoral body) เพื่อเลือกบุคคลที่ผ่านขั้นตอนข้างต้นแล้วนี้มาเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ และอำนาจบริหาร แทนปวงชนชาวไทย
แทนที่จะไปยกให้ สส., สว. เพียง 300–500 คน เป็นผู้ใช้อำนาจมาทำหน้าที่ electoral body เลือกฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี)
แล้วเราก็จะไม่มีเรื่องขัดแย้งผลประโยชน์ของนักการเมือง พรรคการเมือง จนถึงขั้นเข้าเข่นฆ่ากันเองเช่นที่เกรงกันอยู่
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี