จากกรณีมีเด็กนักฟุตบอล และผู้ฝึกสอนหายเข้าไปเที่ยวในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ในวนอุทยานขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ต่อมา นายดำรงค์ หาญภักดีนิยม หัวหน้าวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน สำนักงานพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 รับแจ้งว่ามีผู้ที่พากันเดินทางเข้าไปเที่ยวในถ้ำหลายคน แล้วไม่กลับออกมาอีกเลย โดยพบรถจักรยาน รองเท้า บริเวณทางเข้าถ้ำ เจ้าหน้าที่ ต่างก็ระดมการค้นหากันอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) หรือหน่วยซีล ที่ได้จัดเจ้าหน้าที่หน่วยซีล จาก อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เดินทางไป จ.เชียงราย เพื่อช่วยค้นหาเด็กนักฟุตบอล และผู้ฝึกสอน ด้วยการขึ้นเครื่องบินของทางกองทัพเรือและถึงจ.เชียงราย เมื่อเวลา 01.45 น. ของวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะประชุมวางแผนกับทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ
ในสถานการณ์ดังกล่าว ผู้คนพากันติดตามข่าวอย่างใจจดใจจ่อ ด้วยความรู้สึกห่วงใย ราวกับเขาเหล่านั้นเป็นลูกๆ ของตัวเอง นี่คือ “จิตวิญญาณ” ของคนไทยครับ เรามี “เมตตาธรรมประจำใจ”
ด้าน พลตรี หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว “Chulcherm Yugala” ถึงกรณีดังกล่าวว่า “มีทหาร ไว้ทำไม พวกโลกสวย พวกนักวิชาการเฮงซวย ชอบเขียนอะไรๆ ที่เพ้อเจ้อ กรุณาถลกตูดออกไปช่วยน้องๆ ทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ำหน่อยครับ หรือจะปล่อยให้น้องๆ ทั้ง 13 คนตายในถ้ำ ดีแต่เขียน ดีแต่พูดเพ้อเจ้อ รู้หรือยังครับ “มีทหารไว้ทำไม?”
ปฏิกิริยานี้ของ ม.จ.จุลเจิม กระตุกต่อมคิดของผมขึ้นมาทันใด ว่า เออ...เราควรเห็นอะไร และมีท่าทีอย่างไรดี ในสถานการณ์แบบนี้
1) ม.จ.จุลเจิม ท่านคงจะเครียดและห่วงใยเด็กๆ เหล่านั้นเหมือนกันกับเราทุกคน ในเวลาเดียวกัน ท่านก็คงจดจำความไม่เข้าท่าของนักวิชาการที่ท่านกล่าวถึงเอาไว้ และเมื่อเห็นทหารออกไปช่วยเหลือเด็กๆ ในครั้งนี้ ก็รีบกล่าวเตือนนักวิชาการเหล่านั้นทันที ด้วยพลันรำลึกนึกถึงขึ้นมา
2) อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์นี้ นักวิชาการเหล่านั้นก็ไม่ได้ตั้งคำถามใดๆ มิใช่หรือครับ และอีตอนที่พวกเขาตั้งคำถาม เขาก็มิได้มีน้ำใจที่จะนึกถึงคุณงามความดีของทหารที่ปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนเช่นนี้มาตลอดด้วย สิ่งที่ท่านกรุณาบอกกับคนเหล่านั้นจึงเสมือน “ตักน้ำรดหัวตอ” ไม่งอก ไม่งาม แถมเปลืองน้ำ (ลาย) อีกด้วย
3) อีกด้านหนึ่ง ก็อาจมองได้ว่า จะมาหงุดหงิดคิดถึงคนเหล่านั้นทำไมในเวลานี้ มันใช่ที่ใช่ทางอย่างไรรึ? ยิ่งถ้าท่านเห็นว่า คนเหล่านั้นเขียนอะไรเรื่อยเปื่อย คับแคบ ไร้สาระ เปล่าประโยชน์ ท่านยิ่งต้องไม่ข้องเกี่ยว กล่าวคือ บางเรื่องมันไม่ใช่เรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ที่จะต้องลากโยงไปเกี่ยวกัน เช่น พอทหารรัฐประหาร ก็ด่ากราดเชียวว่า มีทหารไว้ทำไม อันนั้น เราๆ ท่านๆ ก็เห็นความไม่เข้าท่าและบ้าบอของคนพวกนั้นใช่ไหม ในสถานการณ์นี้ เราก็มีแง่มุมอื่นๆ ให้กล่าวถึงเยอะแยะ ไม่เห็นจะต้องหมกมุ่น คุมแค้น ไปรำลึกนึกถึงคนพวกนั้นเลย ซึ่งบัดนี้คงจะงงและขำกันอยู่ว่า เอาเข้าจริง เอ็งก็ชอบลากเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเข้ามาสู่ระบบคิดไม่ต่างกันนั่นแหละ ช่วยคนกันเถอะครับ อย่าเอาทุกเรื่องไปเปล่าเปลืองบนความขัดแย้ง เห็นไม่ตรงกัน ต่างทรรศนะ ต่างมุมมองทางการเมืองอยู่เลย อ่านแล้วมันก็สะใจดี แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่า สองเรื่องที่ท่านเอามาโยงกันนี้ มันมาโยงกันได้ยังไง (หว่า?)
4) “ชีวิตจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อมันถูกใช้เพื่อช่วยเหลือหรือปกป้องใครสักคน”-- หนึ่งในเจ้าหน้าที่หน่วยซีล กล่าว! อย่างนี้สิครับ ที่เราควรจะนำมาเล่า มาขยายความ มาสร้างกระแสดีแทนที่กระแสชัง บางครั้งเราต้องรู้จักประหยัดความชิงชังบ้าง ไม่ต้องเอาออกมาใช้กับทุกสถานการณ์ในโลกนี้ก็ได้ เอาด้านดีที่มีอยู่จริงในเราทุกคน หันเข้าหากัน
5) เราฝึกหน่วยซีลมาอย่างยากลำบาก หลายคนไม่ผ่าน หลายคนบาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต แต่กว่าจะเป็นหน่วยซีล ต้องยอมรับการฝึกแบบ “ผิดมนุษย์” เช่นนั้นได้ เพราะสักวันหนึ่ง ชาติบ้านเมืองอาจต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องการคน “เหนือมนุษย์” เข้าแก้ไข ก็เหมือนสถานการณ์นี้ไงครับ ในถ้ำที่มืด แคบ น้ำท่วม โคลนตะกอนอุดตัน แต่เดิมพันคือ ชีวิตของเด็กทั้ง 12 คน และโค้ชอีก 1 คน ที่รอการช่วยเหลือ เราจึงเห็นผู้บัญชาการและบรรดาทหารในหน่วยซีล ไม่ได้คำนึงถึงชีวิตตัวเองเลย กลับเอาชีวิตของตนเข้าเสี่ยง เพื่อจะช่วยอีก 13 ชีวิตนั้น นั่นคือ “ความหมายของชีวิต” ที่พวกเขาศรัทธาและถูกปลูกฝังมาจนมีจิตใจที่ดีเช่นนี้ นี่คือเรื่องดีๆ ที่ควรเผยแพร่
6) กระนั้นก็ตาม คนไทยเป็นพวก “ตื่นดี” จนบางทีก็ทำเกินขอบเขต เช่น เอารูปหน่วยซีลแต่ละคนมาเผยแพร่ ชื่นชม เยินยอ หลงรัก จนลืมไปว่า คนเหล่านี้มีภารกิจในกาลข้างหน้าอีกมากมาย ที่ต้องไม่เผยตัว ความบ้าคลั่งของสื่อสังคมออนไลน์ หาได้มีสติยั้งคิด ถึงความปลอดภัยในการทำหน้าที่ด้านการรักษาความมั่นคงของคนเหล่านี้ไม่ รวมทั้งสื่อทั้งหลาย ก็พยายามถ่ายทอดสดบ้าง หาโอกาสจะสัมภาษณ์บ้างอยู่ตลอดเวลา จนลืมไปว่า ระหว่างการทำหน้าที่ของตัวเองนั้น มันไปรบกวนและมีผลเสียต่อการทำหน้าที่ของคนอื่นเขาบ้างไหม
7) นายเวิร์น อันสเวิร์ธ นักสำรวจชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นคนที่รู้เรื่องถ้ำหลวง จ.เชียงราย ดีที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ที่เข้าสำรวจคนล่าสุด สามารถสำรวจไปจนถึงปลายถ้ำ ระยะทางกว่า 10 กม. เขาเข้ามาร่วมวางแผนค้นหากับเจ้าหน้าที่และเป็นหนึ่งในผู้นำทางให้ทีมดำน้ำนำทางไป-กลับเป็นรอบที่ 4 ในวันเดียว ขณะที่ทีมอื่นสลับกันทำงานและหยุดพัก นายเวิร์น อันสเวิร์ธ กล่าวยืนยันด้วยแววตามุ่งมั่นและเป็นกังวลว่า “ผมจะไม่ทิ้งเด็กๆ”
8) นี่คือมนุษยธรรมที่งดงาม นี่คือความดีงามที่พึงจะถูกผลิตซ้ำและเผยแพร่ให้กว้างขวาง มากกว่าการผลิตความเกลียดชังในสถานการณ์แบบนี้ มนุษย์ไม่ได้เป็นคนดีเพราะมีคนชั่วกว่า แต่เป็นคนดีเพราะเขาเลือกที่จะทำสิ่งดีๆ ด้วยหัวใจดีๆ เช่น นักสำรวจชาวอังกฤษผู้นี้ ที่เด็กๆ ไม่ใช่ญาติวงศ์พงศา ประเทศนี้ก็หาใช่แผ่นดินถิ่นเกิดของเขาไม่ แต่เขากลับทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ติดถ้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จะมีอะไรที่ทั้งงดงามและดีงามเท่านี้อีก ที่เราจะเห็นได้ในยามนี้
9) ประเสริฐที่สุด ในท่ามกลางความทุกข์ความกังวลของคนทั้งชาติ ก็เหมือนมีหยาดน้ำทิพย์ชโลมใจ เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ทางราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้แจ้งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงติดตามการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเด็กและโค้ชฟุตบอล จำนวน 13 ราย ที่ยังติดอยู่ในภายในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมทั้งทรงห่วงใยกลุ่มผู้ประสบภัยทุกคน และทรงให้กำลังใจไปยังครอบครัวผู้ประสบภัยทุกคน ขอให้ทุกคนปลอดภัย รวมถึงทรงให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการติดตามค้นหาขอให้ประสบความสำเร็จ
10) เราอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน เราสุข เราทุกข์ไปด้วยกัน เรามีกำลังใจให้แก่กัน เรายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือกัน โดยไม่จำกัดชนชั้นวรรณะ ไม่มีความต่างในความเป็นมนุษย์ มีแต่ “มนุษยธรรม” ที่ฉายโชนเป็นแสงสว่างนำทางเราทุกคน ให้ข้ามพ้นภัยร้ายไปด้วยกัน
11) แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักก็คือ ใช่ว่าทุกคนต้องแห่แหนกันไปที่นั่น โดยเฉพาะบรรดา “คนดัง-คนดี” ต่างๆ จงเลือกการประสานงานและการให้ความช่วยเหลือด้วยการ “ลดภาระการดูแล” ของผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เถอะ นั่นรวมถึงร่างทรงและไทยมุงด้วย โลกปัจจุบันที่มีช่องทางให้สื่อสารและส่งความช่วยเหลือเข้าไปโดยไม่ต้องไปเป็นภาระในพื้นที่ ที่ลำบากทั้งเรื่องขี้เรื่องเยี่ยว เรื่องที่นั่งที่ยืน เรื่องอาหารการกิน น้ำดื่ม ฯลฯ
12) งานนี้เราเห็นเลยว่า “สามัคคีคือพลัง” เราเห็นตำรวจตระเวนชายแดน ช่วยลำเลียงถังออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยชีวิต เสริมการทำงานให้หน่วยซีล เราเห็นมนุษย์กบเข้าไปเสริมเพื่อลดความอ่อนล้าของหน่วยซีล เราเห็นการนำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นสำรวจปล่อง จากการให้ข้อมูลของคนในพื้นที่ ว่ามีปล่องที่แสงส่องลงไปถึงในถ้ำได้อยู่ 1 จุด ตำรวจก็นำเฮลิคอปเตอร์พร้อมเสบียงและข้อความหย่อนลงไปในทันที เราเห็น กสทช. กับเอกชนอย่าง เอไอเส ดีแทค เข้าติดตั้งเพื่อเพิ่มสัญญาณโทรศัพท์ ให้การสื่อสารราบรื่น มีประสิทธิภาพขึ้น เราเห็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคลากสายไฟเข้าไป ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างให้อย่างเร่งด่วน เราเห็นผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ เข้าร่วมบัญชาการสถานการณ์อย่างไม่ย่อท้อ เราเห็นคนในพื้นที่ที่เคยเข้าถ้ำนี้ ให้ข้อมูลและชี้แนวิธีช่วย เราเห็นนักวิชาการด้านถ้ำให้คำแนะนำผ่านสื่อ เราเห็นป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าไปติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เพื่อช่วยลดระดับน้ำในถ้ำ ชาวบ้านบางส่วนบอกว่าระบายน้ำออกมาเถอะ ท่วมพื้นที่ของฉันก็ไม่เป็นไร ขอให้เด็กๆ ปลอดภัยและรอดชีวิตออกมา ฯลฯ
เห็นไหมครับว่า ในเหตุการณ์นี้ มี “ความดี” ส่องสว่างให้เราได้เห็นมากมาย โดยไม่ต้องไปหยิบ “ด้านมืด” ขึ้นมารบกวนจิตใจที่ใสสะอาดของเราให้ขุ่นมัวเลย
ในอนาคตข้างหน้า หลังจากเราช่วยเหลือเด็กๆ นำเขากลับมาสู่ “อ้อมกอดของพ่อแม่” ได้แล้ว คงต้องมาคิดกันต่อว่า จะพัฒนาสถานที่แห่งนี้ต่อไปอย่างไร ทั้งในเชิงความปลอดภัยและการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดี เพื่อให้คนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการมี “ธรรมชาติที่น่าทึ่ง” คือถ้ำและป่าเขาแห่งนี้อยู่
เมืองไทยมีอะไรดีๆ เยอะ ที่ต้องเพิ่มให้เยอะคือคนดีๆ และจิตด้านดี!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี