ดูเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นประเพณีปฏิบัติกันมายาวนานแล้ว ที่ชาวไทยพุทธ (ไม่ว่าจะพำนักอาศัยอยู่ที่ไหน ทั้งในและนอกประเทศ) จะร่วมกันสร้างวัด สร้างกุฏิ หรือสถานที่ปฏิบัติธรรม แล้วก็นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาจำวัด หรือนิมนต์มาเป็นครั้งคราวเพื่อร่วมศาสนกิจ ฟังเทศน์ ทำบุญตักบาตร ไปตามความเชื่อถือและประเพณีปฏิบัติ หรือตามครรลองคลองธรรม ซึ่งก็ถือเป็นการทะนุบำรุงพระพุทศาสนาให้เจริญสืบต่อมา
แต่ในวันนี้ ที่ประเทศสยามไทย เหตุใดพุทธศาสนากลับดูตกต่ำ ปั่นป่วน เมื่อนั่งคิดนอนคิด พินิจพิจารณาทบทวนเรื่องคนกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งคนและภิกษุสงฆ์กับตัววัดแล้ว ก็ต้องถามกันต่อว่า นัยและเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดคืออะไรแน่
ต้นเหตุที่น่าแปลกประหลาดใจก็คือ ทำไมภิกษุสงฆ์ถึงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารวัดและเงินทองของวัด แล้วทำไม วัดกับงบจากราชการจึงดูพัวพันกันมากมาย (ในเมื่อเรื่องศาสนากับเรื่องบ้านเมืองควรจะแยกกันให้มากที่สุด) ทั้งๆ ที่การเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ก็คือการสละ หรืออยู่ห่างแล้วซึ่งโลกีย์วิสัยต่างๆ นานา นั้นเป็นพื้นฐานของสังคมไทยพุทธ
กลับมาที่ประเด็นแรกคือ เมื่อสาธุชนคนธรรมดาเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการสร้างวัดสร้างวิหารจึงน่าจะกล่าวได้ว่าพุทธบริษัทนั้นเป็นเจ้าของวัด ซึ่งควรมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการดูแลและการบริหารจัดการวัด ในขณะที่ภิกษุสงฆ์เป็นผู้ได้รับเชิญ (นิมนต์)มาจำวัด ก็อาจจะเรียกได้ว่า เป็นผู้มาอยู่อาศัย ซึ่งมิใช่เจ้าของสถานที่โดยตรง ดังนั้น จึงไม่ควรได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่การบริหารจัดการอื่นๆ ให้วุ่นวาย เพราะกิจสำคัญยิ่งของการบวช ก็เพื่อการศึกษา เรียนรู้ในเรื่องพุทธศาสนา (ถึงได้มีคำสามัญว่า “บวชเรียน”) และปฏิบัติ และในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้แก่ชาวบ้าน และประกอบศาสนกิจไปตามควรแต่เพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว การจะไปให้โชคลาภ กาสร้างวัตถุบูชาเชิงพาณิชย์ ยิ่งมิใช่หน้าที่ของพระ มิใช่กิจของสงฆ์ และสิ่งเหล่านี้มักนำมาถึงการเพิ่มปัญหาการถือครองเงินทองของพระสงฆ์เข้าไปอีกจะอ้างเรื่องเพื่อหาค่าใช้จ่ายวัดก็ยิ่งฟังไม่ขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายควรเป็นเรื่องที่ทางฝ่ายเจ้าของวัดหรือฝ่ายฆราวาสผู้บริหารจักต้องรับผิดชอบดูแลให้ทั่วถึงอยู่แล้ว
ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นสะสมกันมายาวนาน อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนสถานะของภิกษุสงฆ์ จาก “ผู้อาศัย”มาเป็น “เจ้าของ” วัด และถูกยกระดับให้เป็น “ผู้บริหาร”เป็นเสมือนผู้จัดการองค์กร (Chief Executive Officer - CEO and Chief Financial Officer - CFO) โดยควบตำแหน่งผู้บริหารจัดการ และผู้บริหารการเงิน ซึ่งก็ผิดไปจากวัตถุประสงค์ของการบวชเรียน และหลักการแบ่งแยกภาระหน้าที่ระหว่างฝ่ายสงฆ์ กับฝ่ายฆราวาส นอกจากนั้น เมื่อเอาเงินภาษีราษฎรในรูปของงบประมาณรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ยิ่งเท่ากับว่าฝ่ายภาครัฐ หรือรัฐบาลเข้ามายุ่งเกี่ยวกับโลกศาสนา แล้วทำงานข้ามหน้าข้ามตาฝ่ายฆราวาส คณะกรรมการบริหารวัด โดยไปติดต่อพระกับตัวพระเจ้าอาวาส
เรื่องเงินทองนั้นไม่เข้าใครออกใคร เมื่อระบบไม่โปร่งใส ขาดการตรวจสอบที่ดี ขาดการมีส่วนร่วมจากสังคมเพื่อป้องกันคนชั่ว รวมทั้งประเด็นสำคัญคือการที่พระสงฆ์องคเจ้าไม่ถนัดทั้งงานบริหารจัดการ และไม่รู้เรื่องวิธีการบริหารจัดการการเงิน (Financial Management) ก็เลยทำให้หมิ่นเหม่ต่อการถูกหลอกต่อการเป็นเหยื่อของมนุษย์ชั่ว โดยเฉพาะพวกข้าราชการขี้ฉ้อ
จะแก้ไขปัญหานี้ จะต้องอาศัยความมุ่งมั่น และจริงจัง ของผู้มีอำนาจ เพราะต้องแก้ไขกันทั้งระบบ ซึ่งหมายถึงการยกเครื่องกฎหมายทั้งหมด การชำระคำสั่งสอน และการกำหนดบทบาทของภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นงานใหญ่โตต้องใช้เวลา และทั้งผู้นำองค์กรรัฐ และศาสนาต้องเอาจริงเอาจัง
แต่ระหว่างที่เฝ้าคอยให้ระดับสูง หรือระดับประเทศดำเนินการ พวกเราชาวบ้านก็สามารถคิดอ่านทำการในระดับล่าง หรือระดับแนวราบได้ คือ
1) ให้ทุกวัดมีคณะกรรมการวัดที่ซื่อสัตย์ และมีจิตอาสา
2) คณะกรรมการภิกษุสงฆ์ ก็เป็นเรื่องกิจศาสนา
3) ให้ทุกวัดมีแผนงาน และการจัดทำงบประมาณรวมทั้งการเปิดเผยบัญชีเงินบริจาค รายรับรายจ่ายต่อสาธารณชน เป็นต้น
เมื่อเกิดปัญหาหนึ่งจะเป็นเรื่องภายในทางฝ่ายคณะกรรมการ ฝ่ายฆราวาส หรือภายในฝ่ายคณะกรรมการสงฆ์ หรือระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายบ้านเมืองจักต้องเข้ามารับผิดชอบไกล่เกลี่ยหรือตัดสินความตามกระบวนยุติธรรม ที่ฝ่ายบ้านเมืองต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะสังคมวัด สังคมสงฆ์ เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยที่ต้องอยู่ร่วมและพึ่งพาซึ่งกันและกัน
แต่ระหว่างนี้ไปทำบุญทำทานที่วัดกัน ก็ต้องเริ่มสอบถามเรื่องการบริหารจัดการ และเริ่มคิดอาสาเข้าช่วยงานวัด เพื่อให้วัดเป็นที่พึ่งทางใจได้อย่างจริงจัง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี