สังคมไทยกำลังเป็นสังคมที่เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ กล่าวคือ ประเทศไทยตกอยู่ในการปกครองของเผด็จการมาเป็นเวลาสี่ปีกว่าแล้ว ทั้งนี้เกิดจากความแตกแยกอย่างรุนแรงของประชาชนอันเนื่องจากผู้ปกครอง หรือรัฐบาลที่ปกครองในขณะนั้นใช้เงินตราเป็นอาวุธในการปกครองบ้านเมือง เมื่อประชาชนกลุ่มหนึ่งทนเห็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงของผู้ปกครองไม่ได้จึงรวมตัวต่อสู้กับรัฐบาลทรราช จนในที่สุดคณะทหารซึ่งนำโดยผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” เข้ายึดอำนาจการปกครองและทำหน้าที่เป็นองค์อธิปัตย์ปกครองประเทศมาจนทุกวันนี้เป็นเวลา 4 ปีกว่าแล้ว
หลังจากปกครองประเทศสร้างความสงบสุขสู่สังคมไทยและกำลังจะคลายอำนาจ ด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยครึ่งใบเสร็จเรียบร้อยก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งตัวแทนประชาชนที่เรียกว่า สภาผู้แทนราษฎร แต่ยังกุมอำนาจด้วยการแต่งตั้งวุฒิสภาเพื่อร่วมบริหารราชการแผ่นดิน
อย่างไรก็ดี การคืนอำนาจให้กับประชาชนนั้น ด้วยการยินยอมให้กลุ่มการเมืองดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมืองได้ ซึ่งปรากฏว่า มีผู้ไปจดทะเบียนพรรคจำนวนมากแต่ยังไม่ยินยอมให้พรรคการเมืองเก่าทำกิจกรรมได้จนกระทั่งบัดนี้ แต่ประกาศว่า จะจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎรในต้นปี พ.ศ. 2562 รวมทั้งจะมีส่วนร่วมในทางการเมืองต่อไป ด้วยมีการจัดตั้งพรรคเพื่อสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก ซึ่งพรรคการเมืองดังกล่าวมีทั้งพรรคที่สนับสนุนโดยตรงและสนับสนุนทางอ้อม เพื่อให้แน่ใจว่าการบริหารประเทศภายหลังที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ คืนอำนาจการปกครองให้กับประชาชนนั้น การบริหารประเทศในระยะแรกยังคงอยู่ในมือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และมีนายกรัฐมนตรีชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
อย่างไรก็ดี พรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งพรรคหนึ่งมีแนวโน้มที่จะนำเอาสมาชิกพรรคการเมืองที่ตนเองทำการปฏิวัติมาร่วมในพรรคเพื่อจะสนับสนุนตนเอง ทั้งๆ ที่นักการเมืองเหล่านั้นเป็นต้นตอแห่งการที่ทำให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เห็นว่าเป็นตัวปัญหา อย่างไรก็ตาม ถ้า
การเมืองยุคใหม่ของประเทศไทยจะดำเนินตามหลักการปกครองของระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยผู้รักชาติรักประชาธิปไตยแสวงหาแล้ว ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ที่รักชาติรักประชาธิปไตยก็ยินดีสนับสนุนอย่างแน่นอน
ฉะนั้นเพื่อที่จะเตือนความจำของผู้ที่จะเป็นผู้บริหารประเทศตามหลักการแห่งประชาธิปไตย จึงใคร่ขอนำเอาหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เป็นสากลมากล่าวไว้ ณ ที่นี้
คำว่า “ประชาธิปไตย” นั้น หมายถึง
1.อำนาจการปกครองเกิดจากประชาชน ประชาธิปไตยเกิดจากเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและอยู่บนรากฐานการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มี “ประชาธิปไตย”
2.การเมืองดำเนินไปโดยระบบผู้แทน ประชาธิปไตยที่มีผู้แทน หมายถึง ประชาชนไม่ได้ตัดสินใจด้วยตนเอง แต่ผ่านผู้แทนราษฎร พรรคการเมืองเป็นกลไกทางการเมืองที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ดำเนินโดยผ่านพรรคการเมือง
3.ลัทธิรัฐสภา คือ อำนาจการปกครองประเทศ ส่วนใหญ่เป็นของรัฐสภาซึ่งมีอำนาจในการออกกฎหมาย ตรวจสอบพฤติกรรมของรัฐบาล การบริหารประเทศและรัฐบาลปกครองประเทศภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐสภา รัฐบาลจะอยู่ในตำแหน่งได้ถ้าเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาไว้วางใจ
นอกจากนี้ประชาชนจะมีหลักประกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดไว้ว่า พลเมืองมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา มีเสรีภาพในการเคลื่อนไหวทั้งในและนอกประเทศ พลเมืองได้รับการป้องกันมิให้ถูกกีดกันต่อการเป็นสมาชิกของสมาคมหรือศาสนาใดๆ ฯลฯ เป็นต้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นหลักการที่ได้กล่าวถึงสิทธิและหน้าที่ของประชาชนในสังคมประชาธิปไตย แม้ว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับพ.ศ. 2560 อาจยังไม่ก้าวถึงหลักแห่งสังคมประชาธิปไตยดังกล่าวข้างต้น แต่ถ้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีความปรารถนาที่จะให้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยเช่น ประเทศอังกฤษแล้ว คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะต้องดำเนินการพัฒนาพลเมืองไทยให้มีพฤติกรรมรวมทั้งจิตและวิญญาณเป็นประชาธิปไตย ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ โดยเริ่มจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติพร้อมกับประชาชนทั้งประเทศ ถ้าประสบความสำเร็จ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะได้ถูกจารึกชื่อว่า “เป็นบิดาแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี