บทความในคอลัมน์ปรีชาทัศน์ ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 ได้กล่าวถึงแนวคิดของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ที่จัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ในยุคแรก และเคยเห็นตำราภาษาอังกฤษ ที่ใช้คำ “Moral Science” แปลคำว่า ธรรมศาสตร์ ฉะนั้น หากชื่อภาษาอังกฤษว่า “University of Moral Science and Politics” คงจะเท่พิลึก
วันนี้จึงขอโอกาสหยิบยกประเด็นเรื่อง “ธรรมะ” ทางการเมือง ขึ้นมาอภิปรายในจังหวะที่วงการบริหารของศาสนาพุทธกำลังเข้าสู่สัญญาณอันตราย
และเป็นโอกาสสำคัญที่จะโต้แย้งฝรั่งหัวแดงที่เขียนสกู๊ปเกี่ยวกับท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวารสารไทม์ อันโด่งดัง โดยจ่าหัวเรื่องที่หน้าปกว่า “Democrat หรือ “Dictator” - จะเป็นนักประชาธิปไตยหรือนักเผด็จการ
ในหัวสมองฝรั่ง ดูจะมีเพียง 2 พยางค์นี้เท่านั้นในสารบบของเขา ประเทศคุณไม่เป็นประชาธิปไตย คุณก็เป็นเผด็จการ คุณไม่มีหนทางที่สาม - กึ่งกลางระหว่างประชาธิปไตย กับเผด็จการ ช่างเป็นแนวคิดอันคับแคบที่ฝรั่งมักจะนำมาใช้กับประเทศโลกที่สาม
ตามข้อเท็จจริง ประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่ต่างกันแบบ ขาว กับ ดำ ขนาดนั้น อย่างอังกฤษ ท่านคิดว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบแล้วหรือ? แล้วทำไมจึงมีสภาขุนนาง ส่วนสหรัฐอเมริกา ทำไมจำนวนวุฒิสมาชิกของแต่ละมลรัฐจึงมีเท่าๆ กัน ทั้งๆ ที่แต่ละมลรัฐมีจำนวนประชากรไม่เท่ากัน
ผู้เขียนไม่ต่อต้านประเด็นเหล่านี้ เพราะเห็นว่าในหลายๆ ประเด็น ในระบอบประชาธิปไตยแบบสุดโต่ง ช่างไร้สาระเสียจริงๆ
ตามสภาวะที่ควรจะเป็น แต่ละประเทศจึงควรออกแบบระบบการเมืองการปกครองที่เหมาะสมกับ “วัฒนธรรม” ของตนเอง หรือไม่ก็ต้องปรับวัฒนธรรมทางการเมืองให้เหมาะสมกับระบอบการปกครองที่ตนเองใฝ่หา
แต่ผู้นำการเมืองไทยแทบทุกยุคทุกสมัย กลับมองไม่เห็นสัจธรรมข้อนี้ จึงละเลยแนวทางการปฏิรูปที่สำคัญที่สุด คือการปฏิรูปวัฒนธรรม (การเมือง) ให้สอดคล้องกับระบอบการเมืองการปกครองที่ตนปรารถนา
อย่างไรก็ตาม ดังได้กล่าวมาตั้งแต่เริ่มต้นของการเขียนในคอลัมน์ปรีชาทัศน์ให้แก่หนังสือพิมพ์แนวหน้า ผู้เขียนได้แนะนำนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา มีชื่อว่า Francis Fukuyama ผู้เสนอทฤษฎีการเมืองใหม่ ที่ให้ความสำคัญแก่สามมิติของการพัฒนาการเมือง ได้แก่ การสร้างและพัฒนาระบบรัฐให้เข้มแข็ง การพัฒนาระบบนิติธรรมรัฐ (Rule of Law) และการพัฒนาระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย (มีการเลือกตั้ง และรัฐบาลที่รับผิดชอบต่อประชาชน) หากพัฒนา 2 ระบบแรกให้เข้มแข็งในสังคมไทย ระบบที่สามจะง่ายต่อการพัฒนา
แต่น่าเสียดาย ที่ยังไม่ปรากฏว่ามีคณะที่ปรึกษาฝ่ายใดได้เสนอแนวทางปฏิรูปการเมืองการปกครองด้วยความเข้าใจแนวคิดหลักของฟูกูยามา ยังไม่สายที่คณะปฏิรูปการศึกษาและวัฒนธรรมของรัฐบาลจะได้พุ่งเป้าไปสู่การพัฒนาวัฒนธรรมทางการเมือง ซึ่งรวมถึงความรู้และความคิดที่จะส่งเสริมเพิ่มพลังให้กระบวนการประชาธิปไตยได้ฝังรากลึกในสังคมประชาธิปไตยของชาวไทย
ข้อเสนอโดยเฉพาะของวันนี้ ก็คือ มุ่งแสวงหาปัจจัยทางบวกที่จะสร้างพลังทางสังคม และในความคิดของผู้เขียน คงไม่มีพลังใดจะเกินเลยพลังทางศาสนา (พุทธ) ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชากรส่วนใหญ่อยู่แล้ว เพียงแต่ปรับเป้าหมายทางการเมืองและการสร้างระบบจากระบอบประชาธิปไตย “แบบตะวันตก” ล้วนๆ ให้มีองค์ประกอบของวัฒนธรรมไทย ได้แก่ หลักธรรมและขนบธรรมเนียมทางศาสนา(พุทธ) และเชื่อแน่ว่าระบบที่พระคุณเจ้าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้เคยเรียกว่า “ธรรมาธิปไตย” น่าจะสอดรับกับสังคมไทยมากที่สุด
รัฐบาลชุดนี้ ภายใต้การนำของ ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ ควรจะชูธงเรื่อง “ธรรมาธิปไตย” และถือโอกาสปฏิรูปการบริหารของสงฆ์ไทย ซึ่งกำลังเข้าขั้นโคม่า ให้กลับมาสู่ความบริสุทธิ์ ยกเครื่องระบบการบริหารในระบบปัจจุบันที่ขาดประสิทธิภาพ ควรแยกส่วนออกจากระบบสมณศักดิ์ในระดับหนึ่ง เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของการบริหาร ปฏิรูประบบการเงินการคลังของวัด และของสงฆ์ทั้งมวล ให้มีศูนย์กลางของการบริหารทั้งการเงินการคลัง และการศึกษาของสงฆ์และของประชาชน โดยเฉพาะให้มุ่งเป้าไปที่การสร้างวัฒนธรรม “ธรรมาธิปไตย” ให้แก่เยาวชน หนุ่มสาว เปิดโรงเรียนสอนหลักธรรมกับการเมือง / หลักธรรมกับการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างสังคมใหม่ที่มีศรัทธาต่อศาสนา (ของตน) ดูตัวอย่างของศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ที่ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาของเยาวชน ทำไมองค์กรสงฆ์ไทยจะทำไม่ได้ และทำไมจึงมัวสนใจแต่ประเด็นที่เป็นกระพี้ แต่ไม่สนใจเยาวชนส่วนใหญ่ของประเทศที่จะกลายเป็นชนชาติฝรั่งชั้นสองกันไปเกือบจะหมดแล้ว
รัฐบาลของ ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้ามาสู่หน้าประวัติศาสตร์ตามสถานการณ์ของประวัติศาสตร์ และกำลังสร้างคอริดอร์ “EEC” ในฝั่งตะวันออก ขอให้ท่านประสบผลสำเร็จในเรื่องนี้ แต่ถ้าจะก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง ท่านต้องสร้างคอริดอร์ทางการเมือง ได้แก่ การสร้างผู้นำรุ่นใหม่ในหมู่เยาวชนและหนุ่มสาวทั้งหลาย ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงการเมืองจากระบบการทุจริตซื้อเสียง ไปสู่ระบบการเลือกตั้ง ที่ผู้เลือกตั้งชาญฉลาดและมีคุณธรรม ที่จะเลือกว่าอะไรคือผลประโยชน์ที่แท้จริงของประเทศชาติ ที่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าพรรคการเมืองที่ดีควรจะเป็นเช่นไร และคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็น สส. ควรจะเป็นเช่นไร และจะหลุดพ้นจากระบบอุปถัมภ์ได้อย่างไร?
การพัฒนาวัฒนธรรมทางการเมือง ตามที่เข้าใจกันก็คือ การปรับทัศนคติ อุดมการณ์ วิสัยทัศน์ ที่สอดคล้องกับระบอบและวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย ซึ่งในบริบทใหม่ ควรจะเป็น “ธรรมาธิปไตย” ที่เน้น “การตัดสินใจด้วยปัญญา โดยมีเจตนาที่เป็นธรรม”(ตามนิยามศัพท์ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)) การสร้างปัญญานั่นคือมิติของการสร้างความรู้เกี่ยวกับระบบสังคม การเมือง และการปกครองที่ควรจะเป็น ธรรมาธิปไตย ที่ผู้คนเสียสละเพื่อส่วนรวม รักความเป็นธรรม ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง และจุดเริ่มต้นในชุมชน หรือในหมู่บ้าน ก็คือ การรวมกลุ่มเพื่อจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณประโยชน์ การสร้างระเบียบวินัยบนท้องถนน และความสะอาดในหมู่บ้าน การประชุมปรึกษาหารือในปัญหาของส่วนรวม เป็นต้น
ธรรมาธิปไตยไม่ขัดแย้งกับประชาธิปไตย แต่จะส่งเสริมให้เกิดประชาธิปไตยสายกลาง สอดรับกับวัฒนธรรมทางศาสนาของประเทศ โครงการนี้น่าจะเป็นโครงการที่ยิงกระสุนนัดเดียวได้นก 2 ตัว คือ ทั้งการปฏิรูประบบการบริหารการเงิน การคลังของสงฆ์ และการส่งเสริม หรือสร้างวัฒนธรรมการเมืองตามครรลองของธรรมาธิปไตย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี