“เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด” ถือเป็นผลงานสำคัญชิ้นหนึ่งของรัฐบาลโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาหัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเมื่อ 31 มี.ค. 2558 ให้ตามหาครัวเรือนที่ยากจนหรือสุ่มเสี่ยงยากจน เพื่อให้เงินอุดหนุนเดือนละ400 บาท กรณีครัวเรือนดังกล่าวมีเด็กแรกเกิดจนมีอายุครบ 1 ปี
ต่อมาเมื่อ 22 มี.ค. 2559 ได้มีมติ ครม. ขยายจำนวนเงินเป็นเดือนละ 600 บาท และช่วยจนถึงเมื่อเด็กมีอายุครบ 3 ปี ด้วยหวังให้พ่อแม่นำเด็กเข้าสู่ระบบบริการของรัฐ เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งผู้ปกครองสามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรหลานทั้งทางด้านสุขภาพ โภชนาการ เครื่องนุ่มห่ม และอุปกรณ์เครื่องมือในการกระตุ้น
พัฒนาการเด็ก อย่างไรก็ตาม “มีข้อสังเกตและแนะนำบางประการ” ดังนี้
จิราภรณ์ แผลงประพันธ์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เขียนบทความ“เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า : จุดเริ่มต้นของการคุ้มครองทางสังคมทั้งระบบ” โดยกล่าวว่า โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดที่รัฐบาลได้มอบให้สังคม ปิดช่องว่างของระบบสวัสดิการ ทำให้เด็กเล็กได้มีโอกาสเข้าถึงระบบสวัสดิการ มีความมั่นคงทางการเงิน และเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวกลับมาถึง 7 เท่า เพราะเด็กปฐมวัยเป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาต่อเนื่องไปช่วงวัยอื่น
“การลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าให้ผลตอบแทนแก่สังคมที่ดีที่สุดในระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในอนาคต 7-10 เท่า”เป็นคำกล่าวของ ศ.เจมส์ เฮ็คแมน (Prof.James Heckman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล (Nobel Prize) ปี 2543 ซึ่งสำหรับประเทศไทยนับแต่ปีดังกล่าวเป็นต้นมา พยายามที่จะสร้างระบบสวัสดิการถ้วนหน้าสำหรับทุกคนและทุกช่วงวัย และไทยถือได้ว่าเป็นผู้นำของประเทศกำลังพัฒนาในการมีระบบสวัสดิการถ้วนหน้าเพื่อคุ้มครองสภาวการณ์ที่มีความเสี่ยงต่างๆ
อาทิ สวัสดิการรักษาฟรี (สำหรับผู้ป่วย) เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (สำหรับผู้สูงอายุ) เบี้ยยังชีพคนพิการ (สำหรับผู้พิการ) และสวัสดิการเรียนฟรีถ้วนหน้า (สำหรับวัยเรียน)แต่ระบบสวัสดิการของไทยดังกล่าวบางส่วนได้ครอบคลุมในทุกกลุ่มอายุแล้ว โดยเฉพาะแรงงานในระบบประกันสังคมซึ่งได้รับเงินสงเคราะห์เด็กสำหรับบุตรอายุ 0-6 ปี ในขณะที่ลูกของแรงงานนอกระบบประกันสังคมไม่ได้รับ
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2558 เห็นชอบหลักการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โดยให้เงินอุดหนุนแก่เด็กแรกเกิด ที่เกิดระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2558 ถึง 30 ก.ย. 2559 อยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน รายละ 400 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 12 เดือน ซึ่งผลการประเมินสถานการณ์จำลองโดย TDRI ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ (EPRI)พบว่า
“การให้เงินกลุ่มเป้าหมายทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลต่อการลดลงของความยากจนโดยจะลดลงมากที่สุดหากรัฐบาลให้เงินอุดหนุนจำนวน 600 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 ปี จะช่วยลดความยากจนได้มากกว่าการให้เงิน 400 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปี ถึง 6 เท่าตัวข้อเสนอดังกล่าวทำให้คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2559 มีมติเห็นชอบให้ดำเนินงานโครงการต่อเนื่อง โดยให้เงินอุดหนุนแก่เด็กแรกเกิดจนถึง 3 ปี และเพิ่มเงินอุดหนุนเป็นรายละ 600 บาทต่อเดือน และเป็นโครงการแรกที่จ่ายเงินสวัสดิการผ่านระบบ e-payment”
ผลการศึกษาของ TDRI ที่ทำร่วมกับ EPRI สรุปได้ 3 ประการคือ 1.เด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนมีภาวะโภชนาการดีกว่ามีน้ำหนัก ส่วนสูงดีกว่า เพราะได้รับอาหารการกินที่ดี รวมทั้งโภชนาการของเด็กคนอื่นๆในครัวเรือนก็ดีขึ้นด้วย 2.เด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้มากกว่า มีเงินเป็นค่าเดินทางไปพบแพทย์หรือเข้ารับการฉีดวัคซีนตามนัดได้มากขึ้น และ 3.ช่วยเพิ่มความเข้มแข็งและความมั่นคงทางจิตใจให้กับผู้หญิงจากการได้รับเงินอุดหนุนเป็นประจำ ทำให้ผู้หญิงมีอำนาจในการตัดสินใจใช้จ่ายเงินที่ได้รับมาเพื่อจัดหาสิ่งของที่จำเป็นได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจะดำเนินโครงการมาเป็นเวลาเกือบ3 ปีแล้ว แต่จากการประเมินการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของโครงการซึ่งกำหนดเงื่อนไข/คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนเฉพาะครอบครัวยากจนหรือเสี่ยงจน ซึ่งหมายถึงสมาชิกในครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวไม่เกิน3,000 บาทต่อเดือน ต้องมีผู้รับรองและผ่านการอนุมัติการขอลงทะเบียน เป็นเหตุให้เกิดภาวะ 2 รูปแบบ
คือ “ภาวะรั่วไหล” หรือคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแต่ได้รับเงิน (Inclusion error) กับ “ภาวะตกหล่น” หรือการเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง (Exclusion error) และจากการศึกษา “พบว่ายังมีภาวะตกหล่นถึงร้อยละ 30” ซึ่งแม้จะไม่สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ดำเนินนโยบายในลักษณะเดียวกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายควรให้ความสำคัญ เพราะหากเป้าหมายของสวัสดิการนี้คือการช่วยเหลือกลุ่มคนจนและเสี่ยงจนแล้ว เรื่องนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และควรร่วมกันแก้ไข
ปัญหาจากการดำเนินงานอีกประการคือ การให้สวัสดิการแบบเฉพาะเจาะจงนี้จำเป็นต้องมีการกำหนดจำนวนกลุ่มเป้าหมายเพื่อตั้งงบประมาณ และการดำเนินงานในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา พบว่างบประมาณที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอสำหรับจ่ายให้กับผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุน โดยเกิดภาวะขาดจ่ายเงินอุดหนุนนานถึง 5 เดือน ในปี 2560 และ 3 เดือน ในปี 2561 การหยุดจ่ายเงินอุดหนุนส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ได้รับสิทธิ์ สังเกตได้จากจำนวนครั้งที่มีการติดตามสอบถามเรื่องการโอนเงินอุดหนุน รวมทั้งข้อร้องเรียนต่างๆ
“สำหรับภาวะรั่วไหล หากจะแก้ไขปัญหานี้โดยเพิ่มความเข้มงวดของกระบวนการคัดกรองแล้ว ก็จะยิ่งส่งผลให้เกิดการกีดกันไม่ให้คนจนเข้าถึงเงินอุดหนุนมากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือภาวะตกหล่นก็จะยิ่งสูงขึ้น และกระบวนการที่เข้มงวดก็จำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อการตรวจสอบที่มากขึ้นด้วย ระบบการคัดกรองเป็นการตีตราคนจน เป็นการคิดแบบสงเคราะห์ แต่การใช้หลักถ้วนหน้า จะเป็นก้าวสำคัญนำไปสู่การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอย่างถ้วนหน้า”
การให้เงินอุดหนุนแบบถ้วนหน้าจะลดปัญหาเรื่องงบประมาณไม่เพียงพอ ผู้ได้รับสิทธิ์จะได้รับเงินอุดหนุนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งประโยชน์ที่เด็กจะได้รับก็จะได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างระบบฐานข้อมูลที่สมบูรณ์ไม่มีเด็กตกหล่น และสามารถส่งต่อข้อมูลนี้เพื่อไปเชื่อมกับระบบสวัสดิการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบหลักประกันสุขภาพระบบการศึกษา
ซึ่งเป็นฐานของการสร้าง “ระบบรัฐสวัสดิการ” ในอนาคตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี