การสร้างชาติ ให้ไทยเป็นอารยประเทศ หรือประเทศที่เจริญแล้ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมและด้านการเมือง ให้คนไทยได้อยู่ดีกินดี มีรายได้สูง คนจนเหลือน้อยที่สุด และคนไทยเป็นคนดี มีศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน จะทำสำเร็จได้ยาก เนื่องจาก
1.ปัญหารัฐบาลขาดเสถียรภาพ หรือขาดความมั่นคง รัฐบาลจึงล้มลุกคลุกคลาน จาก พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 86 ปี มีรัฐบาลมาแล้วถึง 61 รัฐบาล มีการปฏิวัติรัฐประหาร 13 ครั้ง มีรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ และระหว่างปี พ.ศ.2518 จนถึง พ.ศ.2557 เพียง 29 ปี มีรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองแล้วถึง 27 รัฐบาล
สาเหตุที่รัฐบาลขาดเสถียรภาพเกิดจากการที่ปล่อยให้คนกลุ่มเดียว (อำนาจนิติบัญญัติ) มาใช้อำนาจสองอำนาจ (คือมาใช้อำนาจบริหารด้วย) จึงเกิดการขาดสมดุล หรือการคานอำนาจ ระหว่างอำนาจทั้งสาม
2.ปัญหาการคอร์รัปชั่น สส., สว. มุ่งแต่จะก้าวเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติเป็นเป้าหมายหลัก เพื่อก้าวเข้าสู่อำนาจบริหารต่อไป ไม่ว่าจะเข้ามาด้วยวิธีการใดๆ ด้วยการซื้อเสียง
จากผู้เลือกตั้ง ด้วยการซื้อเสียงจาก สส. ด้วยกันเอง ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า “ระบบดูด สส.” โดยเอาตำแหน่งในอำนาจบริหาร หรือลาภยศ อื่นๆ เข้าล่อ เข้าดูด เมื่อข้าราชการการเมือง (ซึ่งเป็นหัวหน้าข้าราชการประจำ และมาจากอำนาจนิติบัญญัติ) เป็นตัวอย่างของการคอร์รัปชั่น และการหาประโยชน์จากการบริหารประเทศ (ธุรกิจการเมือง) การคอร์รัปชั่นจึงระบาดแพร่หลายไปในหมู่ข้าราชการประจำ และพนักงานอื่นๆ ของรัฐ และทำให้ศีลธรรมของประชาชนก็เสื่อมไปด้วย
3.ปัญหาความแตกแยกของประชาชน เมื่อรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ มีการโกงกินกันทุกหย่อมหญ้า ก็มีการแตกแยกของประชาชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองแตกต่างกันและผลประโยชน์ที่ขัดกัน ทำให้เกิดความแตกแยก แบ่งสี แบ่งก๊ก แบ่งเหล่า อันอาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง (Civil war) ได้
การแก้ปัญหา
1.แยกอำนาจ ทั้งสาม (อำนาจตุลาการ อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร) ออกจากกันโดยเด็ดขาด ให้มีการวางดุลยอำนาจ การถ่วงอำนาจระหว่างกันที่เหมาะสม มีการควบคุมซึ่งกันและกันที่มีประสิทธิภาพ มิให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interest) เช่น ในปัจจุบันซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลอำนาจอื่นๆ เข้ามาใช้อำนาจบริหาร หรือเป็นรัฐบาลเสียเอง ทำให้เกิดระบบ “เผด็จการรัฐสภา” ขึ้นได้
2.ปรับปรุงวิธีการเข้าสู่อำนาจทั้งสาม
2.1 อำนาจตุลาการ ผู้ใช้อำนาจตุลาการ ต้องมีความเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ต้องจบการศึกษาทางกฎหมาย ผ่านการสอบแข่งขัน การกลั่นกรอง การอบรมบ่มนิสัย อย่างเข้มงวดกวดขัน และโปร่งใส จนมาเป็นตุลาการ และเป็นองค์คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ของคณะกรรมการตุลาการ นับว่าถูกต้องเหมาะสม จึงจะสามารถใช้อำนาจตุลาการให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนได้ และประชาชนทุกคน ที่ผ่านกฎเกณฑ์ต่างๆ ของการเข้าสู่อำนาจตุลาการได้ ก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าสู่อำนาจตุลาการ
วิธีการเข้าสู่อำนาจตุลาการ จึงเป็นวิธีการแบบคัดเลือกมืออาชีพ มาเป็น electoral body เพื่อเลือก “คณะกรรมการตุลาการ” อันเป็นองค์กรสูงสุดของอำนาจตุลาการ
2.2 อำนาจบริหาร ซึ่งแต่เดิมพรรคการเมืองจะส่งใครก็ได้ให้มาใช้อำนาจบริหารแทนประชาชนชาวไทย ทั้งๆ ที่การบริหารประเทศเป็นศาสตร์อันลึกซึ้ง ซึ่งควรต้องใช้
มืออาชีพทางบริหาร ที่พิสูจน์แล้วว่ามีความรู้ ความสามารถ มีจริยธรรม และประสบการณ์ เข้ามาบริหารประเทศ ประเทศเราจึงจะก้าวหน้าเป็นอารยะเท่าเทียมประเทศอื่นได้
มืออาชีพทางด้านบริหาร ที่จะเอามาเป็นองค์คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) เลือกหัวหน้าฝ่ายบริหารได้ อาจจะมาจาก
2.2.1 ภาคธุรกิจ จากมืออาชีพในด้านธุรกิจ เช่น จากประธาน รองประธาน และ CEO ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯที่อยู่ในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าสามปี โดยไม่มีเรื่องเสียหาย หรือจากวิสาหกิจเอกชนที่มีทุนบริษัทขนาดใหญ่ และเสียภาษีอากรให้แก่รัฐในระดับหนึ่ง จึงจะนับเป็นนักบริหารมืออาชีพจากภาคธุรกิจเข้ามาเป็นองค์คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ของอำนาจบริหารได้
2.2.2 ภาคประชากิจ ได้แก่ ผู้ที่เคยบริหารชั้นสูงของมูลนิธิ สหพันธ์ สมาคมวิชาชีพ องค์การกุศลสาธารณะ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ฯลฯ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เคยดำรงตำแหน่ง ประธาน รองประธาน หรือ เลขาธิการ ของภาคประชากิจนั้น มาไม่ต่ำกว่าสามปี โดยไม่มีเรื่องเสียหาย
2.2.3 ภาครัฐกิจ ได้แก่ ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งสูงสุด และรอง ในหน่วยงานราชการต่างๆ มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน ทั้งในหน่วยงานพลเรือน และในหน่วยงานทหาร ตำรวจ ซึ่งถือว่าเคยเป็นผู้บริหารรัฐกิจมาแล้ว โดยไม่มีเรื่องเสียหาย
ผู้บริหารมืออาชีพ จากภาคธุรกิจ ประชากิจ และรัฐกิจ เหล่านี้ คือ เป็นผู้บริหารมืออาชีพ เป็นผู้ที่ควรจะมีสิทธิเป็นองค์คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Body) ที่จะเลือกตั้งหัวหน้าฝ่ายบริหารได้ และมีสิทธิ์สมัครเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารได้ หากผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวด และผ่านการกลั่นกรอง ตรวจสอบจากคณะกรรมการพิเศษตามรัฐธรรมนูญ
และประชาชนทุกคน ก็มีสิทธิเท่าเทียมกัน ที่จะทำงานในภาคธุรกิจ ภาคประชากิจ หรือภาครัฐกิจ แล้วไต่เต้าผ่านการตรวจสอบ กลั่นกรอง และพิสูจน์ความรู้ความสามารถ จนก้าวไปสู่ความเป็นนักบริหารมืออาชีพ และมาเป็น electoral body ของอำนาจบริหาร
3. อำนาจนิติบัญญัติ ในปัจจุบัน ให้ประชาชนที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย และตามรัฐธรรมนูญ ทุกคนมีสิทธิเลือกตั้ง สส., สว. ได้ ก็เข้าหลัก universality ของระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเหล่านี้จึงเป็น electoral body ของอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทั่วโลกยอมรับอยู่แล้ว
---------------
หากได้มีการปรับปรุงการเข้าสู่อำนาจทั้งสาม โดยให้องค์คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ของอำนาจตุลาการ และอำนาจบริหาร เป็นมืออาชีพด้าน กฎหมาย ด้านบริหาร และมีเทอมที่แน่นอน (เช่นครั้งละ 4 ปี ไม่เกิน 2 ครั้ง) แก่หัวหน้าฝ่ายบริหาร ปัญหารัฐบาลขาดเสถียรภาพ ปัญหาการคอร์รัปชั่น และปัญหาการแตกความสามัคคี แบ่งสี แบ่งพวก ก็จะหมดไป
ประเทศไทยจึงจะก้าวไปสู่ความเป็นอารยะประเทศได้ ในระยะเวลาอันสั้น โดยประชาธิปไตยระบบมืออาชีพ (Professional Democracy) มิใช่ประชาธิปไตยระบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ที่ถ่วงความเจริญของประเทศ เป็นต้นตอของคอร์รัปชั่น และอาจเป็นสาเหตุของสงครามกลางเมือง (civil war) ได้ในอนาคต
---------------
รัฐบาลของ คสช. พยายามส่งเสริมให้คนในประเทศมีนวัตกรรมด้านต่างๆ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำประเทศไทยไปสู่ยุค 4.0 แต่ทำไมไม่พิจารณานวัตกรรมการเมืองบ้าง ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่จะนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยสู่ประเทศ นำมาซึ่งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพโดยมืออาชีพ การคอร์รัปชั่นจะค่อยๆ ลดถอยลงอย่างรวดเร็ว และความปรองดองของคนไทยทุกหมู่เหล่าก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
อย่าไปหลงอยู่กับประชาธิปไตยระบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ซึ่งนำความล้มเหลวมาสู่ประเทศไทย ยาวนานถึง 86 ปี จนกระทั่งทุกวันนี้
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี