ในขณะที่สถานการณ์ความเชื่อมั่นของรัฐบาลกำลังกลับมาอย่างมากในตอนนี้ จากศักยภาพของกองทัพ และกระทรวงมหาดไทยในการแก้ปัญหาที่จังหวัดเชียงราย ความร้อนรนจึงนำมาสู่ฝ่ายการเมืองพรรคต่างๆ ที่ส่วนหนึ่งก็เร่งให้เกิดกระบวนการเลือกตั้ง แต่อีกนัยหนึ่งก็เกิดความระส่ำภายใน ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย
โดยเฉพาะเพื่อไทยเองดูจะออกอาการมากที่สุด ตั้งแต่ความไม่ชัดเจนในตัวหัวหน้าพรรคที่ดูเหมือนวันนี้ ชื่อคุณหญิงสุดารัตน์อาจไม่แน่นอนอย่างที่คิดแล้ว? ในขณะที่การปลุกกระแสโดนดูด สส. กลับไม่สามารถเรียกราคาความสนใจจากประชาชนได้อย่างที่คิด จึงเกิดอาการดิ้นภายในของมุ้งต่างๆที่ต้องการเอาตัวรอดแบบใครดีใครได้รายมุ้ง? เริ่มมีการแย่งซีนขัดกันเองในการแถลงข่าว จนดูอาการออกว่าไม่สอดคล้องกันจึงยากที่จะสร้างความเชื่อคล้อยตามกับประชาชนในห้วงเวลานี้ได้ของดีย่อมไม่คุย ของที่คุยมักมีรอยร้าวอยู่ข้างในที่ต้องเอาอะไรมาปกปิดไว้
ล่าสุดหลัง สส. เริ่มย้ายออก? จุดกระแสเลือดไหลไม่หยุดตอนนี้ ทำเอาระดับแกนนำต้องออกมาเรียกราคาอ้างผลความนิยมการเมืองว่า อย่างไรกระแสนิยมก็ยังมีมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ รองลงมเป็นพรรคอนาคตใหม่ และพรรคประชาธิปัตย์ และก็ยังอ้างความเชื่อเก่าๆ ที่เคยพูดว่าพรรคตนเองเป็นพรรคที่เข้าใจประชาชนทุกคนผ่านการลงพื้นที่คลุกคลีประชาชนอย่างจริงจัง และยังเป็นพรรคที่สามารถบริหารจัดการเศรษฐกิจปากท้องได้ดีกว่าใคร? และจุดเด่นอีกข้อของพรรคเพื่อไทยที่พยายามอ้างถึงคือเป็นพรรคประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการทหาร และกล่าวโจมตีพรรคอื่นที่ไม่ออกมาต่อต้านทหารว่าเป็นพวกเดียวกันกับทหารทั้งหมด
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สัก 4-5 ปี คนคงเชื่อได้ง่ายแต่ไม่ใช่วันนี้ ประเด็นแรกคือการที่บอกว่าเป็นพรรคของตนเองเป็นพรรคที่เข้าใจปัญหาของประชาชนมาตลอดนั้น ก็ต้องยอมรับว่าจริงส่วนหนึ่ง เพราะได้สร้างนโยบายได้ตรงใจประชาชนและเหมาะสม อาทิ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค แต่พอบริหารประเทศนานวันเข้าก็เริ่มมีนโยบายประชานิยมแบบแอบแฝงด้วยหรือไม่? โดยเฉพาะโครงการเฉพาะภูมิภาคเพื่อหวังคะแนนเสียง สะท้อนจากเรื่องการจัดการงบฯในภาคใต้เมื่อเทียบกับงบฯจัดการภาคอีสานในสมัยนั้น ในขณะที่นโยบายประชานิยมเพื่อคนทั้งประเทศส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าอาจจะทำให้ประชาชนตื่นตาตื่นใจไม่น้อย เพราะเป็นนโยบายที่เน้นสนองความต้องการของประชาชนแต่ไม่ได้คำนึงผลกระทบระยะยาว ว่าจะทำให้เกิดการก่อหนี้ครัวเรือนของประชาชนหรือไม่? หรือแม้กระทั่งก่อให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะในที่สุด การที่บอกเข้าใจประชาชนก็เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองระยะสั้น หากทุกพรรคแข่งกันถลุงใช้งบประมาณแผ่นดินแบบนี้
ประเทศคงกลับไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ
ประเด็นที่สองที่บอกว่า สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว ต้องถามว่า ดูจากปัจจัยใด หรือเทียบกับเรื่องใด?ถ้าจะพูดถึงการจัดการเศรษฐกิจในรัฐบาลนี้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือรัฐบาลทักษิณกับรัฐบาลก่อนหน้า ขอให้เข้าใจต้นทุนของประเทศด้านเศรษฐกิจก่อนเข้าดำรงตำแหน่งแต่ละยุคด้วย ในสมัยรัฐบาลทักษิณเข้ามาหลังจากประเทศฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากวิกฤติเศรษฐกิจ 40 เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่รัฐบาลก่อนรัฐบาลทักษิณคือรัฐบาลชวน 2 นั้น เข้ามาในช่วงที่มีต้นทุนทางเศรษฐกิจติดลบ เงินทุนสำรองประเทศไม่มี ซึ่งเป็นผลจากรัฐบาลพลเอกชวลิตทำไว้ เช่นเดียวกับรัฐบาลทหารในตอนนี้ที่เข้ามาบริหารประเทศโดยมีจุดเริ่มต้นจากภาระหนี้ที่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อไว้ นั่นคือภาระหนี้จากนโยบายจำนำข้าว ที่ได้สร้างมูลค่าความเสียหายถึง 286,639 ล้านบาท พร้อมกับภาระข้าวค้างสต๊อกถึง 17.8 ล้านตัน ซึ่งมูลค่าความเสียหายอาจเพิ่มขึ้นถึง 660,000 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่ามหาศาลที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาลขณะนั้นใช่หรือไม่?
ในขณะที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มต้นเข้ามาบริหารประเทศ มีต้นทุนภาวะทางเศรษฐกิจที่ดีที่รัฐบาลก่อนหน้าทำไว้ให้ เมื่อดูจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ จีดีพี และการส่งออก ก่อนที่จะดิ่งลงเหวทั้งหมดจนมูลค่าการส่งออกติดลบ? หากจะต้องวัดกันที่ความสามารถก็น่าจะต้องดูจากปัจจัยเหล่านี้เป็นหลัก ยังไม่นับประเด็นคำถามว่าที่เศรษฐกิจดีขึ้นในยุครัฐบาลทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ว่าเป็นเศรษฐกิจในกระเป๋าใครกันแน่? ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ตระกูลที่รวยขึ้นใช่หรือไม่? และคนตระกูลเหล่านั้นสังกัดพรรคใด?
ประการสุดท้ายที่ว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการทหาร และยืนเคียงข้างประชาชน ได้ออกมาต่อต้านเผด็จการทหารตั้งแต่ปี’49 และ 57 เป็นต้นมา เอาเข้าจริงแล้วต่อต้านรัฐบาลทหารด้วยประเด็นใดกันแน่? มุมหนึ่งหลังรัฐประหารปี’49 ได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบปัญหาทุจริต ที่เรียกว่า คตส. ซึ่งนำมาสู่การยึดทรัพย์จากกรณีการทุจริต รวมถึงการแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ โดยไม่มีคดีการเมืองแม้แต่น้อย หลังจากนั้นพยายามอ้างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนำมาสู่การเลือกตั้งปี’51 สิ่งแรกที่รัฐบาลนั้นทำคือการพยายามนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองใช่หรือไม่?ซึ่งแม้ไม่สำเร็จ ล่วงเลยมาจนถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ก็มีความพยายามออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอีกครั้ง และสำเร็จไปแล้วในชั้นสภาผู้แทนราษฎร
รอบนี้ก็อีกเช่นกันคดีจำนำข้าวที่ถูกตัดสินไปแล้วส่วนหนึ่งและหลายคดีที่รอการตัดสิน ซึ่งเป็นคดีอันเกี่ยวเนื่องกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หนึ่งในข้อเสนอของการเลือกตั้งครั้งหน้าที่นอกจากเรื่องฉีกรัฐธรรมนูญแล้ว จะมีเรื่องการนิรโทษกรรมซ่อนไว้อยู่อีกหรือไม่? สุดท้ายเกิดคำถามว่า ต่อสู้เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยหรือใช้ชัยชนะในประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์อะไรกันแน่? ถ้ายังไม่ชัดเจน ให้ย้อนกลับไปดูรัฐประหารปี 2534 หลังการรัฐประหารมีรัฐบาลทหารขึ้นบริหารชั่วคราว ใครได้ประโยชน์จากสัมปทานสื่อสารในยุครัฐบาลทหารชุดนั้นแต่เพียงผู้เดียว? อะไรคือ ประชาธิปไตยในความหมายของระบอบทักษิณกันแน่?
ล่าสุดการออกมาของบิ๊กพรรคเพื่อไทย ที่พูดทำนองว่ายังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคที่ได้อันดับหนึ่ง การได้ที่หนึ่งคงไม่เพียงพอจำเป็นต้องชนะอย่างถล่มทลาย แต่ล่าสุดอีสานโพลที่ทำการสำรวจความคิดประชาชนเฉพาะคนอีสาน ระบุว่าปัจจัยในการตัดสินใจเลือก สส. ของประชาชน ณ เวลานี้อยู่ที่ตัวบุคคลมากที่สุดไม่ใช่พรรค ประกอบกับปัจจัย สส.ภาคอีสานที่โดนดูดไหลออกนั้น ก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่คิด ยังจะเป็นเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่? แต่ก็ต้องขอชื่นชมถึงความมุ่งมั่นพรรคเพื่อไทยที่ไม่ว่าจะโดนยุบพรรคกี่ครั้งก็ยังรวมตัวจัดตั้งพรรคใหม่ให้เกิดขึ้นได้ทุกครั้ง พรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ย่อมไม่หวั่นไหวต่อกระแสการดูด สส. เลือดใหม่อาจจะดีกว่าเลือดเก่าก็เป็นได้ ถ้าหากสามารถยึดมั่นอุดมการณ์ไว้ได้ก็ไม่ต้องสนว่าพรรคจะใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง
และหลังจากนี้ประชาชนอาจจะเห็นพรรคเพื่อไทยมีความเป็นสถาบันอย่างสมบูรณ์ได้ แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อสามารถทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากกับดักของตัวเองทั้งสามเรื่องก่อนหรือไม่?หนึ่งหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตทั้งหมดด้วยความบริสุทธิ์ ซึ่งต้องยอมรับว่าในหลายองค์กรย่อมต้องมีเนื้อร้าย พรรคการเมืองก็อาจมีบุคคลที่เป็นเนื้อร้ายเหล่านี้เช่นกัน ทางที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของพรรคเอาไว้ ก็คือต้องปล่อยให้มีการดำเนินคดีทุจริตของอดีตสมาชิกพรรคทั้งหมดโดยไม่ขัดขวาง และต้องยอมรับผลการตัดสิน อะไรที่เป็นเนื้อร้ายหรือสร้างความเสียหายต่อพรรคต้องตัดทิ้ง ไม่ควรปกป้องและช่วยเหลือในทางที่ผิด และความผิดบุคคลย่อมไม่เกี่ยวกับพรรค หากพรรคสามารถชี้ให้ประชาชนเห็น คนไทยเข้าใจได้ไม่ยาก
สองต้องหลุดพ้นข้อกล่าวหาว่าเป็นพรรคที่อยู่ภายใต้ทุนระบอบทักษิณ ด้วยการแสดงความเป็นสถาบันของตัวเอง โดยไม่นำเครือข่ายที่เป็นญาติหรือคนสนิทของเจ้าของทุนระบอบทักษิณขึ้นเป็นผู้นำพรรค เพื่อให้การตัดสินใจและดำเนินการภายในพรรคเป็นอิสระ หลุดพ้นระบบโฟนอินจากแดนไกลเพื่อสั่งการในที่ประชุมพรรคอีกต่อไป
สามหลุดพ้นจากความขัดแย้งโดยมองประเทศไปข้างหน้ายุติความขัดแย้ง หรือปัจจัยที่ทำให้เกิดปมขัดแย้งของประเทศ ยุติการปลุกระดมกลุ่มมวลชนต่างๆ เพื่อให้คนไทยแตกแยกกันเอง ยุติการสนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศ แล้วพูดถึงพรรคที่เป็นสถาบันในปัจจุบันเท่านั้น เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นสถาบันที่เป็นความหวังของอนาคตใหม่ที่แท้จริง?
“...ทุกเรื่องราวที่เล่าลือ ต้องสวยงามยิ่งกว่าความเป็นจริงอยู่เสมอไป...”
คำคมโกวเล้งจากเรื่อง จอมดาบหิมะแดง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี