มีความคืบหน้าสำคัญ ในอันที่จะเปิดทางให้กับเศรษฐกิจชาวบ้าน เกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ กำลังจะออกกฎกระทรวงรองรับ “ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ” เป็นหลักประกันทางธุรกิจอย่างหนึ่ง สามารถใช้เป็นทรัพย์สินที่นำไปขอกู้เงินได้ สนับสนุนแผนปฏิรูปประเทศ จูงใจให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นมูลค่าสูงในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อการออม
1. คุณกุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมเร่งออกกฎกระทรวงโดยจะเพิ่มทรัพย์สินอื่นมาเป็นหลักประกัน ได้แก่ “ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ” อันจะทำให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากต้นไม้ระหว่างการปลูก โดยนำไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจเพื่อกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินได้
ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม สหกรณ์สวนป่าภาคเอกชน กรมป่าไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ สมาคมธนาคารไทยและธนาคารรัฐ เช่น ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน SME Bank ปรากฏว่า ทุกหน่วยงานสนับสนุนเป็นอย่างดี
ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
ขณะนี้ อยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
คาดว่า จะเป็นไปตามแผนที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศวางไว้ภายใน 1 ปี (ภายในเดือนกันยายน 2561)
2. สำหรับการดำเนินการตาม พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 นั้น ถือว่าเป็นตัวช่วย เป็นเครื่องมือที่เติมโอกาสและศักยภาพแก่ประชาชนได้มากทีเดียว
ที่ผ่านมา มีการนำ “สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ” ประเภทสัตว์พาหนะ (ช้าง) และกิจการ มาจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ตามที่กฎหมายเปิดโอกาส
ยกตัวอย่างจริง
มูลค่าทรัพย์สิน (ช้าง) ที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 13 ล้านบาท
กิจการ 514 กิจการ อาทิ ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านซักอบรีด สวนผัก ผลไม้ สวนยางพารา หอพัก และรับเหมาก่อสร้าง จำนวน 97 ล้านบาท
สะท้อนความหลากหลายของประเภททรัพย์สินที่นำมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ และเป็นที่ยอมรับของสถาบันการเงินในการให้กู้ยืมเงิน
ถ้าเมื่อไหร่เพิ่มเติมโอกาสแก่ชาวบ้าน สามารถนำต้นไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่ตนปลูกไว้ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเอง มาใช้เป็นหลักประกันทางการเงินได้ด้วย นับว่าจะเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับประชาชนทั่วประเทศ
3. หากรัฐบาล คสช. และผู้เกี่ยวข้อง ดำเนินการปลดล็อก เพื่อเปิดทางให้กับการปลูกต้นไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ได้จริงๆ จะนับเป็นผลงานชิ้นโบแดงอีกอันหนึ่งอย่างแน่นอน
เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์โดยตรงของชาวบ้านหลายล้านครัวเรือน
หากทำสำเร็จ จะถือเป็นการปลดล็อกกฎหมายที่ใช้มานานกว่า 70 ปี เปิดทางให้ชาวบ้านและชุมชนสามารถปลูกป่าไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเอง โดยเฉพาะ ไม้พะยูง ชิงชัน ยางนา ไม้สัก
หลังจากนี้ ต้องพิจารณาว่า ไม้ชนิดไหนบ้างที่จะอนุญาตให้ปลูกและตัดได้ รวมทั้งออกแบบระบบติดตามควบคุมเพื่อป้องกัน มิให้เกิดการรั่วไหล หรือสร้างผลกระทบในทางไม่พึงประสงค์ต่อไปด้วย
จะทำให้ชาวบ้านและชุมชนสามารถสร้างสวนป่า ปลูกป่าไม้มีค่า ที่เป็นพืชเศรษฐกิจราคาแพง ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเอง
การปลูกสร้างสวนป่าของชาวบ้านเหล่านี้ จะเป็นเงินออมในระยะยาว
เป็นสินทรัพย์ที่ชาวบ้านสามารถตัดขายเมื่อต้องการใช้เงิน
และมีมูลค่าเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ตามอายุของต้นไม้
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 3/2561 เห็นชอบในหลักการการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ เนื่องจากพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484ในมาตรา 7 ได้กำหนดให้ไม้สัก และไม้ยาง รวมถึงไม้ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 อีก 16 รายชื่อ ไม่ว่าขึ้นอยู่ในที่ใดในราชอาณาจักรเป็นไม้หวงห้าม ดังนั้น การทำไม้หรือนำไปใช้ประโยชน์ จึงต้องมีการอนุญาตตามกฎหมายป่าไม้ เกิดผลกระทบตามมาแก่ประชาชนที่มีที่ดินกรรมสิทธิ์ถูกต้อง แต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากไม้เศรษฐกิจบางชนิดได้
กขร. เห็นว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้เศรษฐกิจในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือที่ดินที่มีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย และช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจให้กับประเทศ จึงมีมติตามที่กรมป่าไม้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ โดยให้พิจารณาให้มีระบบกำกับ ควบคุม ตรวจสอบย้อนกลับ การรับรองไม้ในที่ดินกรรมสิทธิ์ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลเพื่ออำนวยประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ
การดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์จะเป็นการต่อยอดให้ครบถ้วนยิ่งขึ้น
สำเร็จเมื่อไหร่ เตรียมเฮดังๆ ได้เลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี