เมื่อช่วงปลายเดือนมิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ นสพ.เดอะ การ์เดียน (The Guardian) ซึ่งเป็นสื่อมวลชนเก่าแก่สำนักหนึ่งของอังกฤษ นำเสนอรายงานข่าว “Deluge of electronic waste turning Thailand into world’s rubbish dump” (ซากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์กำลังเปลี่ยนประเทศไทยเป็นที่ทิ้งขยะของโลก) เนื้อหาระบุว่า เศษซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉลี่ย 50 ล้านตันต่อปีถูกนำพาจากบรรดาชาติที่ได้ชื่อว่า “เจริญแล้ว” ทั้งกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) สหรัฐอเมริกา รวมถึงญี่ปุ่น ไปยังประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยสาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนนโยบายของ จีน ที่แต่เดิมเป็นปลายทางของขยะเหล่านี้ถึงร้อยละ 70กระทั่งช่วงต้นปี 2561 ที่รัฐบาลมังกรประกาศกร้าว “บ้านอั๊วแผ่นดินอั๊ว จะไม่ยอมให้พวกลื้อใช้เป็นที่ทิ้งขยะอีกต่อไป” โดยออกกฎหมาย “ไม่รับขยะจากต่างแดน ไม่เพียงแต่เศษซากเครื่องใชไฟฟ้า-อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงขยะพลาสติกด้วย”พร้อมกับ “ตรวจเข้ม” โรงงานรับกำจัดขยะทั่วประเทศ ซึ่งก็พบว่าจำนวนมากดำเนินการอย่างผิดกฎหมาย เมื่อทางการจีนเอาจริงแบบนี้ นักลงทุนจีนกับขยะจากชาติต่างๆ จึงหันทิศมาขึ้นฝั่งบนแผ่นดินสยามแทน
ข้อเรียกร้องของภาคประชาชน เช่น มูลนิธิบูรณะนิเวศ จัดแถลงข่าว “เปิดปูมกรณีการนำเข้าขยะพิษ” ระบุว่าในความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ-FTA) ที่รัฐไทยไปทำกับหลายประเทศทั้งโดยตรง เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และโดยอ้อม เช่น จีน ผ่านกรอบอาเซียน เปิดช่องให้ชาติที่กล่าวมานั้นสามารถส่งวัสดุที่ใช้การใดๆ ไม่ได้ เข้ามาในประเทศไทย อาทิ แบตเตอรี่ หม้อสะสมไฟฟ้า เศษพลาสติก
จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย “แสดงจุดยืนเฉกเช่นรัฐบาลจีน” ออกกฎหมายห้ามนำเข้าขยะ 4 ชนิดคือ 1.ขยะพลาสติก 2.ตระกรันวาเนเดียม 3.ขยะกระดาษที่ไม่จัดประเภท และ 4.ขยะสิ่งทอบางชนิด รวมถึงขอให้ปฏิรูปกฎหมายใบอนุญาตโรงงานประเภทต่าง (101,105 และ 106) ให้ทันสมัย อีกทั้งอำนาจการตรวจสอบโรงงานควรอยู่ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
อีกด้านหนึ่ง ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.)กล่าวว่า การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่เหมาะสมจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย ชุมชนและสิ่งแวดล้อม การปนเปื้อนมลพิษจากการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์จึงเริ่มจากเส้นทางของผู้ผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปถึงผู้รับขยะอิเล็กทรอนิกส์ และสุดท้ายไปสู่ความเสี่ยงต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม
ได้แก่ 1.ตะกั่ว ทำลายระบบประสาท ต่อมไร้ท่อ ไตระบบเลือด และการพัฒนาสมองของเด็ก ส่วนพิษเรื้อรังจะค่อยๆ แสดงอาการภายหลัง 2.ปรอท เป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ได้แก่ สมอง และไขสันหลัง ทำให้เสียการควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแขน ขาการพูด ทำให้ระบบประสาทรับความรู้สึกเสียไป เช่น การได้ยิน การมองเห็น 3.คลอรีน อยู่ในพลาสติกพีวีซีก่อสารมะเร็ง เมื่อพลาสติกถูกเผาอาจส่งผลต่อระบบหายใจ ระคายจมูก และทำให้เคลือบฟันผุ 4.แคดเมียม มีพิษเฉียบพลัน ทำให้ปอดอักเสบรุนแรง ไตถูกทำลาย
และ 5.โบรมีน เป็นสารก่อมะเร็ง อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี ซึ่งจากข่าวการตรวจสอบโรงงานแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย หากเป็นโรงงานที่ดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง เช่น เปิดโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต สำแดงสิ่งของนำเข้าเป็นเท็จ ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ประเทศไทยควรมีมาตรฐานในการกำจัดซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ ประกอบด้วย
ขั้นตอนที่ 1 การมีระบบการเรียกคืนซากผลิตอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยอาจใช้หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility, EPR) อาจให้ผู้ผลิตมีหน้าที่ในการเรียกคืนซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เสื่อมสภาพและหมดอายุ และการจัดตั้งศูนย์รับคืนซากผลิตภัณฑ์
ขั้นตอนที่ 2 การคัดแยกโดยโรงงานคัดแยกที่ได้มาตรฐานและมีระบบควบคุมที่ถูกต้อง ที่ได้รับการอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นโรงงานประเภท 106 ซึ่งมีการควบคุมกระบวนการต่างๆ เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ และการบดย่อยเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ปฏิบัติงาน และ ขั้นตอนที่ 3 นำส่วนที่เหลือจากการคัดแยกและไม่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ไปกำจัด โดยการฝังกลบแบบปลอดภัยซึ่งป้องกันการรั่วซึมสู่สิ่งแวดล้อม หรือการเผาอุณหภูมิสูงที่แยกออกจากขยะมูลฝอยของชุมชนทั่วไป
อนึ่ง วสท. ยังขอเรียกร้องใน 12 ประการ ไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย “ระยะสั้น” 1.ระงับการนำเข้าซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซล (BaselConvention) ทั้งหมด ที่รวมไปถึงกลุ่มสำแดงเท็จ 2.ทบทวนความพร้อมการรองรับซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตามอนุสัญญาบาเซลที่มีอยู่ในประเทศและผลการดำเนินการของผู้ประกอบการ 3.ทบทวนความจำเป็นในการนำขยะเศษพลาสติกเข้าประเทศ หากไม่จำเป็นขอให้ยกเลิกการนำเข้าเพื่อป้องกันการสำแดงเท็จ
4.ตรวจสอบโรงงานที่นำซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มาคัดแยก ว่าดำเนินการอย่างเหมาะสมหรือไม่ รวมทั้งกลุ่มโรงงานที่มีการนำเข้าขยะประเภทอื่นๆ จากต่างประเทศด้วย 5.ติดตามตรวจสอบการคัดแยกขยะทั่วประเทศ เพื่อให้ควบคุมการคัดแยกและทิ้งของเสียออกสู่สาธารณะที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อม
6.ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในโรงงานที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรอบโรงงานที่มีการคัดแยกซากผลิตภัณฑ์อย่างไม่มีถูกต้องและทิ้งของเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม และ 7.เร่งรัด “(ร่าง) พ.ร.บ.การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ส่วน“ระยะยาว” 8.ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ควรมีส่วนร่วมเป็นผู้รวบรวมและจัดเก็บขยะ/ซากอิเล็กทรอนิกส์
9.สนับสนุนให้สร้างโรงงานคัดแยกและกำจัดซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้มาตรฐาน ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงและไม่เกิดความขัดแย้ง 10.หาก (ร่าง) พ.ร.บ.การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีผลบังคับใช้ จะต้องดำเนินการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก ในการรวบรวมซากอิเล็กทรอนิกส์กลับเข้าสู่ระบบการกำจัดอย่างมีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชน ผู้ประกอบการและหน่วยงานของรัฐในระดับต่างๆ
11.ยกเลิกการนำเข้าซากขยะอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท ทั้งที่นำเข้าเพื่อการคัดแยกและนำกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งเพื่อการซ่อมแซมอุปกรณ์ภายใน 5 ปี และ 12.ยกเลิกการนำเข้าขยะเศษพลาสติกจากต่างประเทศ และยกเลิกการนำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อนำมาซ่อมแซมแล้วกลับมาใช้ใหม่ทั้งหมด
อย่าให้สุขภาพของ “คนไทย” ต้องแบกรับความเสี่ยงอีกเลย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี