คนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ไม่ให้ความสนใจเรื่องกองทุนประกันสังคม เพราะมองว่า เป็นเรื่องไกลตัว เข้าใจยาก แล้วก็มองว่า ขณะนี้ตนเองยังไม่เกษียณอายุการทำงาน เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้ เอาไว้เมื่อวันที่ตัวเองต้องได้รับเงินคืนจึงค่อยให้ความสนใจ นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ที่คนไทยที่จำเป็นต้องศึกษาเรื่องนี้ให้เข้าใจถ่องแท้ แต่กลับมองข้ามไป
จากสถิติล่าสุด ของสำนักงานประกันสังคม (เดือนมีนาคม 2561) มีผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 33) จำนวน 10,913,304 คน ผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 39) 1,384,583 คนมีผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 39) ล่าสุดถึงเดือนพฤศจิกายน2560 จำนวน 1,369,083 คน และมีผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 40) 2,503,572 คน
ส่วนจำนวนผู้ประกันตน ที่ขอใช้สิทธิกรณีเจ็บป่วยตั้งแต่ปี 2552-2560 เฉลี่ยปีละ 35 ล้านคน กรณีทุพพลภาพ เฉลี่ยต่อปี 1,300 คน กรณีเสียชีวิต เฉลี่ย 22,000 คนต่อปี กรณีคลอดบุตรเฉลี่ยปีละ 290,000 คน กรณีรับบำเหน็จชราภาพ เฉลี่ยปีละ190,000 คน กรณีสงเคราะห์บุตร เฉลี่ยปีละ 1 ล้าน 2 แสนคน และกรณีว่างงาน เฉลี่ยปีละ 110,000 คน
แต่ระยะหลังๆ ได้เกิดคำถามมากขึ้น และมากขึ้นเป็นลำดับว่า สำนักงานประกันสังคมจะมีเงินเพียงพอกับการจ่ายให้ผู้สมทบกองทุนหรือ เพราะมีรายจ่ายมากขึ้นเป็นลำดับ ส่วนจำนวนผู้จ่ายเงินประกันกลับลดน้อยลง เพราะเข้าสู่วัยเกษียณ ดังนั้นความฝันของผู้ประกันตนที่เคยเชื่อว่าตนเองจะได้รับเงินชราภาพเมื่อมีอายุครบ 55 ปี แล้วได้จ่ายเงินสมทบไปแล้วเกิน15 ปี จึงอาจจะดูเป็นจริงได้ยาก เพราะมีข้อเสนอให้ขยายอายุเกษียณออกไป คำถามที่ตามมาคือ ทำไมต้องขยาย ขยายเพื่ออะไร แล้วผู้ประกันตัวจะได้ผลประโยชน์อะไรมากขึ้น หรือเป็นการขยายเพียงเพื่อให้สำนักงานกองทุนประกันสังคมมีอายุยืนยาวต่อไปเท่านั้น
มีผู้จ่ายเงินสมทบกองทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในบริษัทเอกชน ซึ่งมีสวัสดิการที่ดีมาก ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยใช้บริการใดๆ ของประกันสังคมเลย แต่ก็ไม่รู้สึกว่า ตนเองเสียเปรียบ เพราะยินดีแบ่งเงินที่ตนเองได้เพื่อให้กับเพื่อนร่วมประเทศที่มีความจำเป็นต้องใช้บริการจากสำนักงานประกันสังคม ซึ่งถือเป็นการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุขระหว่างเพื่อนร่วมชาติร่วมแผ่นดิน แต่คำถามที่คนกลุ่มนี้ฝากถามสำนักงานประกันสังคมคือ แล้วเมื่อเขาถึงวันเกษียณอายุจากการทำงาน เขาจะได้อะไรตอบแทนอย่างสมเหตุสมผลบ้าง แต่สิ่งที่เขาเกรงมากที่สุดคือ เมื่อถึงวันที่เขามีอายุครบ 55 ปี เขาจะไม่ได้รับเงินคืนจากประกันสังคม เพราะสำนักงานฯ ไม่มีเงินจ่ายคืนให้กับเขา (กลุ่มคนที่ตั้งคำถามเรื่องนี้ปัจจุบันมีอายุเฉลี่ย 40-45 ปี)
มีคำถาม จากผู้คนที่สนใจการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคมว่า ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน กองทุนประกันสังคมสามารถบริหารจัดการเงินกองทุนเพื่อให้เกิดดอกออกผลดีหรือเลวอย่างไร กองทุนมีเสถียรภาพมากน้อยเพียงใด และต้องไม่ลืมความจริงที่ว่า ยุคนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ดังนั้นผู้ประกันตนที่จะส่งเงินสมทบจึงมีแนวโน้มลดลงเป็นลำดับ ซึ่งเป็นไปตามสภาวะของประชากรวัยทำงาน
จากข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่สังคมรับทราบคือ สำนักงานประกันสังคมได้ว่าจ้างให้องค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO (International Labour Organization) เข้ามาประเมินทางคณิตศาสตร์ประกันภัยให้กับกองทุนประกันสังคม โดยผู้ประเมินศึกษาคือ Hiroshi Yabamana แล้วพบว่าหากสำนักงานประกันสังคมยังตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบันต่อไป เงินกองทุนประกันสังคมจะติดลบภายในระยะเวลา 28 ปี นับจากนี้เป็นต้นไป
สมมุติฐานดังกล่าวนั้นเกิดมาจากเหตุปัจจัยสำคัญคือ เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ กองทุนฯ ต้องจ่ายเงินบำนาญให้กับผู้เกษียณจนไม่มีเงินเหลืออีกต่อไป เพราะคนวัยทำงานมีจำนวนน้อยลงจนไม่สามารถส่งเงินให้กองทุนได้เพียงพอกับการใช้จ่ายเงิน
ข้อเสนอของผู้ทำวิจัยเรื่องนี้คือ เพื่อทำให้กองทุนประกันสังคมสามารถจะดำรงอยู่ต่อไปได้ จะต้องขยายเกณฑ์อายุเกษียณออกไป เพื่อยืดเวลาการรับเงินบำนาญ และเพื่อให้ผู้ประกันตนสามารถจ่ายเงินสมทบได้ยาวนานขึ้น หากไม่ใช้วิธีการเช่นนี้ก็หมายความว่ากองทุนประกันสังคมจะต้องล่มสลายลงไป ผู้วิจัยยังระบุเพิ่มเติมว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกนี้ โดยเฉพาะในยุโรปตะวันตก และสหรัฐฯ ผู้ประกันตนกับกองทุนประกันสังคมจะเกษียณอายุในวัยประมาณ 70 ปีทั้งสิ้น ดังนั้น ผู้รับเงินบำนาญของเขาจึงจะได้รับเงินในช่วงอายุประมาณ 70 ปี มิใช่ 55 ปี เหมือนประเทศไทย
ถ้าเช่นนั้น ก็จึงเกิดคำถามว่า แล้วประเทศไทยจะสามารถขยายอายุเกษียณออกไปถึง 70 ปีได้หรือ การขยายอายุเกษียณดังกล่าวจะทำได้หรือไม่ จะผิดกฎหมายที่ได้ตราไว้แล้วหรือไม่ แล้วที่สำคัญคือจะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงโดยกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยหรือไม่
ส่วนประเด็นที่มีผู้วิจารณ์ว่าอัตราการสมทบเงินรวม (total contribution rate) เข้ากองทุนโดยผู้ประกันตนของไทยมีอัตราต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย และในยุโรป โดยเปรียบเทียบว่าไทยจ่ายเงินสมทบเพียงร้อยละ 5-6 ในขณะที่มาเลเซียจ่ายเงินสมทบร้อยละ 25 เวียดนาม ร้อยละ 22.5 จีน ร้อยละ 20 ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 12 ฮ่องกง ร้อยละ 10 เกาหลีใต้ ร้อยละ 9 แต่ประเด็นนี้ก็มีผู้ให้ความเห็นคัดค้านว่าเพราะอัตราค่าจ้างและค่าครองชีพในไทยค่อนข้างต่ำ ดังนั้นจึงไม่สามารถเก็บเงินสมทบได้มากไปกว่านี้
ข้อเสนอของ ILO โดย Hiroshi Yabamana คือ หากจะให้สำนักงานประกันสังคมและกองทุนประกันอยู่รอด จะต้องค่อยๆ ปรับเพิ่ม total contribution rate หรืออัตราส่งเงินสมทบรวมเป็นขั้นๆ และจะต้องปรับเพิ่มขึ้นอย่างน้อยที่อัตราร้อยละ16.4 ภายใน ค.ศ. 2054 ไม่เช่นนั้นแล้ว เงินกองทุนจะต้องติดลบแน่นอน แต่มีเสียงถามกลับว่า เสนอแบบนี้ง่ายเกินไปหรือไม่ หากเสนอแบบนี้ได้ อีกหน่อยทุกหน่วยงานที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพก็ต้องตั้งข้อเสนอทำนองนี้เช่นกัน ใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีทั้งผู้เห็นด้วยและคัดค้าน โดยผู้คัดค้านตั้งคำถามกลับแบบรุนแรงว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่า สำนักงานประกันสังคมทำงานล้มเหลวใช่หรือไม่ เพราะบริหารเงินกองทุนไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ต้องเก็บเงินสมทบเพิ่ม และต้องขยายอายุเกษียณ แต่คำถามที่หนักว่านั้นคือ สำนักงานประกันสังคมจะรับผิดชอบต่อผู้ที่จ่ายเงินสมทบมาโดยตลอดอย่างไร ถ้าหากในอีก 28 ปีข้างหน้าผู้จ่ายเงินสมทบจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ตอบแทนเลยแม้แต่น้อย
ส่วนผู้เห็นด้วยกับกองทุนประกันสังคมก็ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำ เพราะกองทุนมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น หากไม่ใช้วิธีขยายกำหนดเกษียณอายุแล้ว กองทุนจะหาเงินจากไหนไปให้กับผู้รับเงินในอนาคต
มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2567 จะมีผู้ประกันตนที่ต้องได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 121,860 คน เป็นเงินรวม11,060 ล้านบาท ผู้รับเงินบำนาญชราภาพอีก 817,680 คน เป็นเงินรวม 41,960 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 53,020 ล้านบาท และมีตัวเลขด้วยว่าในปี 2577 จะมีผู้ประกันตนได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ 69,950 คน รวมเป็นเงิน 22,370 ล้านบาทรับเงินบำนาญชราภาพ 3,301,680 คน รวมเป็นเงิน 422,230ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 444,600 ล้านบาท
จากประมาณการโดยสำนักงานประกันสังคม พบว่า ในปี 2587 กองทุนชราภาพจะเกิดภาวะติดลบ คาดว่าจะมีผู้ประกันตนได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ 42,800 คน เป็นเงินรวม 26,330 ล้านบาท รับเงินบำนาญชราภาพ 6,274,960 คน รวมเป็นเงิน 1,842,440 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,868,770 ล้านบาท
ขอย้ำว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของสำนักงานประกันสังคมหรือปัญหาของรัฐบาลเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่คนไทยทุกคนต้องร่วมกันคิดและหาทางออก โดยเฉพาะผู้ที่จ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมยิ่งจำเป็นต้องคิดพิจารณาเรื่องนี้ให้มาก และไม่ควรรอให้ถึงวันที่ปัญหานี้ระเบิด เพราะหากรอให้ถึงวันนั้นสังคมไทยอาจจะเกิดความโกลาหลขึ้นมาได้..!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี