ก่อนใครจะเข้าไปพบ “ทีมหมูป่าอะคาเดมี” ผมเชื่อว่า ในถ้ำอันมืดมิด มีแสงสว่างจากใจของแต่ละคน ส่องถึงกันและกัน แม้อาจจะริบหรี่สำหรับคนอื่นๆ แต่มันสว่างพอที่พวกเขาจะอดทนรอ “การช่วยเหลือ” ได้นานนับ 10 วัน
ครั้นพอเข้าไปพบ ว่าพวกเขาทั้ง 13 คน รอดชีวิตด้วยสติ ด้วยวินัย ด้วยทักษะที่ดีของการเป็นนักกีฬาและชำนาญเส้นทางในถ้ำที่พวกเขาคุ้นเคย ด้านสว่างก็คือ ทุกคนพลอย “โล่งใจ” ไปกับการ “ยังมีลมหายใจ” ของพวกเขา ด้านที่น่าวิตกกังวลก็คือ จะนำพวกเขาออกมาอย่างปลอดภัย คืนกลับให้ครอบครัวได้อย่างไร และด้านที่มืดมิดก็คือ “โลกออนไลน์” กับ “นักแซะ” ที่เอาเด็กมาตำหนิ มาโหนกระแส แซะไปถึงรัฐบาลเผด็จการ
นั่นทำให้ผมพบว่า---มืดมิดยิ่งกว่า “ถ้ำ” ก็คือ...“ใจคน”
เอาเถอะครับ กับเรื่องนี้ เราเห็นชัดเจนว่า ชีวิตของคนปัจจุบันตกอยู่ในโลก 2 โลก คือโลกแห่งความเป็นจริง ที่มนุษย์ยังต้องมองหน้า สบตา สัมผัสเนื้อตัว เอ่ยปากพูดจาสนทนากันอยู่ ในโลกใบนี้ มนุษย์ยังคำนึงถึง “ความเป็นมนุษย์” ของตัวเองและกันและกันมาก ได้รับการขัดเกลา นึกถึงใจเขาใจเราและ “ระมัดระวัง” การแสดงออกมากว่า “สมควร” หรือ“ไม่สมควร” อย่างไร
กับอีกโลก คือ โลกออนไลน์ ความที่มนุษย์ไม่ต้องสัมผัสกัน ไม่ได้ยินเสียงกัน ไม่เห็นสีหน้า แววตา ของกันและกัน มันก็เลย “ไม่ต้องเป็นมนุษย์” มากมองกันและกันเหมือนวัตถุชิ้นหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่งๆ อ่านเป็นข่าว เป็นเรื่องราว ที่ไม่ต้อง “สัมผัสใจ” ไม่มีเยื่อใยซึ่งกันและกัน
เราด่าไอ้น็อตกราบรถได้ สาดเสียเทเสีย จนลืมไปว่า วินาทีนั้น คือเด็กหนุ่มที่ “ขาดสติ” คนหนึ่ง การกระทำของเขาไม่ใช่มาตรฐานปกติของมนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะ แต่ก่อนหน้านั้นและหลังจากนั้น เขาคือคนธรรมดา ที่ดีก็ได้ ชั่วก็ได้ ผิดพลาดได้ และอยู่ในกระบวนการของกฎหมายที่สังคมกำหนดขึ้น หนีไม่พ้น และไม่ได้หนี
เช่นเดียวกับ เก่ง เกียร์อาร์ ที่เรียกๆ กัน ก็คือคนที่ “บันดาลโทสะ” จนขาดสติ และกระทำการไปด้วยอารมณ์ชั่วแล่น และโลกออนไลน์ สามารถเล่นภาพจากคลิปของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็น “อกาลิโก” คือ เหนือกาลเวลา จนลูกเขาบวช หลานเขาแต่งงาน คลิปนั้นก็ยังอยู่ และพร้อมจะมีคนแชร์ออกมาใหม่จนลืมไปว่า คนเปลี่ยนแปลงได้ รับโทษแล้ว และได้รับการพิสูจน์ไปแล้วว่าคู่กรณีทำผิดกฎจราจรและยั่วยุกันไปมาอย่างไร จนทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น
แต่ด้วยความที่ในโลกออนไลน์ เขาไม่ได้ถูกจัดวางไว้ในฐานะ “เพื่อนมนุษย์” แต่เป็นตัวละครหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งถูกเฝ้าดูอย่างไม่ต้อง “มีเยื่อใย” จึงตามมาด้วย “ความคิดเห็น” สารพัดสารพัน เสียจนบางครั้งไป “ละเมิด” ความเป็นมนุษย์ ทั้งละเมิดตัวเขาและละเมิดความเป็นมนุษย์ของตัวผู้วิจารณ์เอง
กรณีเด็กติดถ้ำก็เหมือนกัน เราพบทั้ง มนุษย์และอมนุษย์ในโลกออนไลน์
ในโลกจริง มีสักกี่คน ที่พร้อมจะเดินไปบอกพ่อแม่ของเด็กว่า เฮ้ย! ลูกคุณนี่สร้างปัญหานะ เข้าไปทำไมในถ้ำ ดูซิ ผู้คน ทรัพยากร งบประมาณ ต้องสูญเสียไปเท่าไหร่ ที่ต้องเอามาช่วยลูกคุณน่ะ
เราไม่ทำอย่างนั้น เพราะเราเป็น “เพื่อนมนุษย์”
เรารู้ว่าใจของพ่อแม่เขาเจ็บ เจ็บด้วยความห่วงใยพอแล้ว ยังเจ็บด้วยการสำนึกผิด คุณคิดว่าพ่อแม่ของพวกเขาภูมิใจ-สุขใจกันหรือ ที่ลูกไปติดอยู่ในนั้น และคนต้องมาช่วยกันขนาดนั้น คุณคิดว่าเขาสบตาคนที่มาช่วยด้วยความรู้สึกอะไร?
นอกจากเราคำนึงถึง “ความเป็นมนุษย์” ทั้งของเราและของเขาแล้ว เรายังรู้จัก “ยับยั้งชั่งใจ” ได้ด้วยว่า ใครวะ...อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวเอง พร้อมๆ กับการไตร่ตรองด้วยว่า “เรารู้จักเขาพอ ที่เราจะกล่าวโทษอย่างใดอย่างหนึ่งกับเขาแล้วหรือ” เช่น ไปเที่ยวทำไมวะ ในถ้ำ ซึ่งเราพูดแบบ “นักออนไลน์” เราพูดแบบ “คนไกลถ้ำ” คนที่มีแหล่งสำเริงสำราญให้เลือกเยอะแยะมากมาย เราพูดแบบไม่ได้นึกว่า บริบทชีวิตในชนบทของพวกเขาเป็นอย่างไร
เหตุการณ์ “เด็กติดถ้ำ” จึงมีแง่มุมให้เราได้คิดมากมาย แต่มุมหนึ่งที่กระทบใจผมมากก็คือ มุมของ “ความเป็นมนุษย์” นี่แหละ
สื่อเองก็เช่นกัน ท่ามกลางการรอสถานการณ์คลี่คลาย และคนสนใจข่าวนี้กันมาก ก็ต้องหา “อะไรก็ได้” มาเติมเต็มพื้นที่ว่างที่มีมูลค่า มีเรตติ้ง มีการไลน์และแชร์ จนลืมว่าสื่อควรเป็น “หลักทางปัญญา” แก่สังคม
ผมงงมาก ที่เห็นสื่อวงกลมที่รูปของโค้ชเอก ที่ยังติดอยู่ในถ้ำแล้วถามว่า “โค้ชเอกห้อยพระอะไร” จากนั้นสืบหาคำตอบจนได้ว่าเป็น “พระรอดลำพูน” มูลค่าเท่าไหร่ ขณะที่สื่อญี่ปุ่นหาคำตอบว่า ขนมและอาหารที่โค้ชและเด็กๆ มีติดตัวไปในถ้ำคืออะไรบ้าง แต่ละอย่างมีสารอาหารและพลังงานเท่าไหร่
มีการใช้คลิปการดำน้ำที่ต่างประเทศมาแชร์กัน แล้วเชื่อกันเป็นตุเป็นตะว่านั่นคือการดำน้ำเข้าไปในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ช่วยกันปั่นกระแสครูบาบุญชุ่มเสียจนท่านเลยภาวะ “พระ” ไปเป็น ผู้วิเศษ” แล้ว มีความ “เลยเถิด” มากมายให้เราเห็น เพราะสื่อต้องปักหลักรายงาน 24 ชั่วโมง โดยที่เนื้อหา (Content) มันไม่ได้ “มากพอ” ขนาดนั้น ชีวิตเด็ก ชีวิตคนทำงาน ชีวิตจิตอาสา จึงถูกขุดถูกควานหามาป้อน มาถ่ายทอด จนขาดการ “กลั่นกรอง” ว่าอะไรมีประโยชน์ อะไรเปล่าประโยชน์ และอะไรละเมิด อะไรชักนำผู้คนไปในทางที่
ไม่จำเป็นต้องไป
อาสาสมัครจากต่างชาติรูปหล่อบางคน จึงถูกขุดถูกแซวว่าเสียดายความหล่อ ดันมีผัว/เมีย (ที่เป็นผู้ชาย) ไปเสียแล้ว เป็นต้น
อีกอย่างหนึ่งที่เห็นชัดมาก ทั้งจากโลกจริงและโลกออนไลน์ก็คือ นิสัยหาคนผิดและติดฮีโร่
ครูบาสิ ฮีโร่
หน่วยซีลสิ ฮีโร่
โค้ชเอกสิ ฮีโร่
ผู้ว่าฯ ต่างหากฮีโร่
ฯลฯ
สังคมไทยเป็นอย่างนี้ เป็นสังคมพึ่งพิงและโหยหา “วีรบุรุษ” มากกว่าสังคมที่สนใจและคิดสร้าง “ระบบ” ไม่ว่าจะระบบของการทำงาน ระบบของการสร้างคน หรือระบบของการอยู่ร่วมกัน
เป็นสังคมที่มีโครงสร้างทางสำนึกแบบ “ปัจเจก” คือ ตัวใครตัวมัน ครั้นได้เห็นว่า มีคนผละจากความเป็น “ปัจเจก” มา “ช่วยกัน” จึง “ตื่นดี” คือ ตื่นเต้นกับการกระทำอย่างนั้น จนยกขึ้นไปเสียเลิศลอย แล้วแบ่งคณะกันผลักดันฮีโร่ของตัวเอง เหยียดฮีโร่ของคนอื่น ก่อนจะวกกลับมาเป็น “ปัจเจกบุคคล-ตัวกูของกู-ตัวใครตัวมัน” พลิกผันมาด่าเด็ก ด่าโค้ช ว่ามึงเข้าไปทำไม มึงทำความเสียหายขนาดไหน อีกฝ่ายก็ยกพวกขึ้นเห็นต่าง
• ในสังคม “ต่างคนต่างคิด”
• ในสังคมที่มีสันดาน “หาความต่างก่อนหาความเหมือน” ขีดเส้นใต้ความต่างเพื่อลบความเหมือน
• ในสังคมกูจะคิดของกู และพวกใครพวกมัน
ไม่มีวันที่จะพบ “ความเป็นหนึ่ง” ไม่มีวันที่จะมุ่งไปที่ “ระบบ”
เป็นสังคมที่คุ้นเคยกับการ หา “ผู้ดี” และ “ผู้ร้าย”
คุ้นเคยต่อการ “จำแนก” เรื่องราวต่างๆ ด้วย “ร่องความคิด” แบบ “เรื่องนี้ใครผิด”
เราจึงรวมพลัง หรือแท้จริงจะเรียกว่า “รวมพวก-รวมฝูง” ได้ในระยะสั้นๆ เพื่อจะหาความเหมือน เพื่อจะไป “ปะทะ” หรือ “ถล่ม” กับความต่างให้ “ชนะ” เท่านั้น ไม่ใช่การรวมกันที่แท้จริงและสร้างสิ่งดีงาม-ยั่งยืน
นี่คือ “ความป่วยไข้”
โลกออนไลน์มีทั้ง “เมตตา” และ “ป่าเถื่อน” ขาดความยั้งคิดว่า อารมณ์ตื้นๆ ของโลกเสมือน ไปสร้างผลกระทบอะไรใน “ชีวิตจริง” บ้าง
ในโลกแห่งความเป็นจริง คนทำงานก็ทำไป มุ่งมั่นจะช่วยเด็กออกมาให้ได้
ในโลกออนไลน์ แต่งตั้งคนนั้นคนนี้ขึ้นเป็นฮีโร่ ไอ้คนนั้นเป็นผู้ร้าย ฟาดฟันแย่งชิงตำแหน่งกัน โดยที่คนในโลกจริงเขาไม่ได้สนใจสิ่งนี้เลย เขาทำเพราะเขาอยากทำ มากกว่าตั้งคำถามว่า มีคนเห็นไหม เขาว่าอย่างไรบ้าง เราดังหรือยัง
โลกออนไลน์ จึงผลิต “น้ำเคลือบ” เขาไปเคลือบโลกจริง จนเพี้ยนผิดบิดเบือน ไปตามอำเภอใจของคนที่มีเวลาพอจะนั่งเคาะคีย์บอร์ด เห็นชีวิตจริงๆ คนในโลกจริงๆ เป็นมหรสพ ที่ปั้นแต่ง-ปรุงแต่ง ได้สารพัด ตามความรู้สึกนึกคิดของคน แทนการ “เคารพชีวิตนั้นๆ”
พอเถอะครับ กับการมองหาฮีโร่
แต่จงหาคำตอบว่า กระบวนการใดในชีวิต หล่อหลอมจิตใจให้คนเหล่านั้นรู้จัก “เสียสละ”
บางคนข้ามน้ำข้ามฟ้ามาช่วย อะไรสร้างหัวใจและความทุ่มเทอย่างนั้นเพื่อ “คนแปลกหน้า” ในอีกซีกโลกหนึ่ง คนซึ่ง-ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
อะไรทำให้คนคนหนึ่ง บัญชาการสถานการณ์ได้ ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย โดยไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน
อะไรทำให้คนวัย 25 ปี คนหนึ่ง กุมสติของเด็กอีก 12 คนเอาไว้ได้ ท่ามกลางความมืดมิดและหิวโหย
และอะไร ทำให้เรา นั่งเคาะคีย์บอร์ด จนไป “กระทบ-กระแทก” กับชีวิตของคนเหล่านั้น
อะไรที่หล่อหลอมเราให้ “ประณีตและป่าเถื่อน” ได้ต่างกัน
หยุดปั้นแต่งให้คนนั้นคนนี้เป็น “ฮีโร่” ขึ้นมาแข่งกันในโลกออนไลน์เสียทีเถอะ
หันมา “เรียนรู้” ว่าต้องทำอย่างไรที่เราจะมีนักเผชิญสถานการณ์อย่างมีสติ จัดการอย่างมีระบบได้อย่างโค้ชเอกและผู้ว่าฯ จะต้องทำอย่างไรให้ ผบ.ตร.รับคำสั่ง ร่วมงาน และอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่คนอื่นบังคับบัญชาแทนตนได้ อะไรจะทำให้เราผลิตมนุษย์ที่มีศักยภาพอย่างหมอภาคย์และหน่วยซีล อะไรทำให้เกิดจิตใจที่สวยงามอย่างนักขุดเจาะบ่อบาดาล นักปีนเขา-เก็บรังนก กู้ภัย ตชด. คนซักผ้า เจ้าของรถสุขา ฯลฯ ที่มาช่วย
เขาต้องการคำสรรเสริญเยินยอชั่วคราวจากโลกออนไลน์หรือ?
--โลกออนไลน์ที่ทำตัวเป็นพระเจ้า เป็นผู้พิพากษา ว่าดวงวิญญาณไหนผ่องแผ้ว ดวงวิญญาณไหนผิดบาป โดยไม่เคยหันกระจกมา “ส่องใจตัวเอง” ดีแต่ชี้นิ้ว ตัดสินคนอื่น
“อนุสาวรีย์” ของพวกเขา คือความทรงจำดีๆ ว่าครั้งหนึ่งฉันได้ไปทำอะไร ครั้งหนึ่งฉันได้เห็นหัวใจที่ผ่องแผ้วของตัวฉันเอง เห็นความเป็นมนุษย์ในตัวเองที่เห็นค่าของเพื่อนมนุษย์
มิได้หมกมุ่นอยู่กับเหรียญตราที่โลกออนไลน์ผลิตขึ้นมาประดับให้อยู่ในเวลานี้ และอีกไม่นาน พวกเขาก็จะหันไปสนุกกับเรื่องใหม่ๆ และชีวิตอื่นๆ ต่อไป โดยปล่อยให้ความดี-ความชั่ว ให้เหตุการณ์หนึ่งๆ ผ่านไป โดยไม่เกิด “ระบบ”ที่จะถูกใช้เป็น “เครื่องมือแห่งความเปลี่ยนแปลง”
เราเป็นสังคมที่นั่งคอย “ฮีโร่” มาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง มากกว่าเรียนรู้ และสร้างระบบ เพื่อจะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นๆ ให้ดีงามขึ้น---ด้วย “เราทุกคน”
เราเอ่ยปากชม ชื่นชม ยกย่อง เพื่อจะฝากภาระนั้นๆ ไว้กับเขา
เขา---ที่เราสถาปนาขึ้นมาเป็น “ฮีโร่”
แทนการใช้เขาเป็นครู หรือเป็นแรงบันดาลใจ ให้เรา “เรียนรู้” และเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อจะ “เป็น” อย่างที่เขา...เป็น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี