ช่วงนี้ หลายคนรู้สึกขุ่นใจคล้ายๆ กันว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย?
พิบัติภัยร้ายแรงประดังประเดเข้ามา
ทั้งทางภาคเหนือและภาคใต้
ทั้งภัยบนอากาศ บนผิวดิน ในถ้ำใต้พิภพ และในทะเล
ภัยทางพิภพ... กรณีผู้ประสบภัย 13 คน เป็นเด็กนักฟุตบอลและโค้ช ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จังหวัดเชียงราย
ภัยทางอากาศ... กรณีเครื่องบินกองทัพบกตก ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีผู้เสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 1 นาย
ภัยทางน้ำ... ในทะเล กรณีเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต พบศพผู้เสียชีวิตแล้ว 41 ราย และยังมีผู้สูญหายอีก 15 ราย
เหตุการณ์พิบัติภัยร้ายแรงเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำ ฉับไว ทันสถานการณ์ และสอดคล้องกับบริบทของโลกยุคใหม่ที่ข้อมูลข่าวสารไหลหลากทั่วโลก
เหตุการณ์เหล่านี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก แต่เราย่อมทราบว่า นี่คงไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายแน่ๆ
กรณีที่เกิดขึ้นแล้ว ควรจะถอดบทเรียนการบริหารจัดการ เพื่อนำเอาสิ่งที่ดี ทำได้ถูกต้อง เหมาะสม วางไว้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ และนำสิ่งที่ยังเป็นจุดอ่อนหาหนทางแก้ไขปรับปรุง เพื่อหาแนวทางที่ดีกว่าในการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติในอนาคตต่อไป
ผมมีความเห็นเบื้องต้นบางประการ และหวังว่าท่านผู้รู้
ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยกันต่อเติม หาระบบบริหารจัดการกับสถานการณ์ภัยพิบัติที่ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ในยามคับขันต่อไป
1. สร้างระบบป้องกัน
เราควรจะต้องเร่งสร้างระบบป้องกันภัย กระจายความรับผิดชอบให้ท้องถิ่นต่างๆ เพื่อให้สามารถพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ โดยมีข้อมูลเชิงลึกลงรายละเอียดเฉพาะ
ท้องถิ่นของตนอย่างแม่นยำ
ท้องถิ่นภูเขาภาคเหนือและภาคตะวันตก ย่อมต้องเน้นข้อมูลบางอย่าง อาทิ สภาพภูเขา ถ้ำ ป่า น้ำป่า ไฟป่า
เช่นเดียวกับชายทะเลทางภาคใต้ ภาคตะวันออก ก็จะต้องเน้นข้อมูลบางประการ เช่น คลื่น ลม มรสุม
ท้องถิ่นอื่นๆ ที่มีภูมิประเทศ ภูมิอากาศ มีความเสี่ยงของภัยพิบัติแต่ละด้านแตกต่างกันไปก็เช่นกัน
2. สร้างความตระหนัก สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย
อุบัติเหตุและอุบัติภัย สามารถป้องกันและลดความรุนแรงได้
เราควรมีแผนงานรองรับอย่างเป็นระบบที่จะกอบกู้วิกฤติจากอุบัติภัยต่างๆ
หน่วยงาน เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ และอาสาสมัครที่กระจายตัว จะต้องซักซ้อมในพื้นที่ต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้และจิตสำนึกในเรื่องความปลอดภัย ว่าการดูแลความปลอดภัยต้องมาก่อน
อย่าคิดว่าเรื่องเลวร้ายคงจะไม่เกิดกับเรา
อย่าหวังแต่เพียงพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะต้องพึ่งตนเอง และเชื่อว่าผลกรรมเกิดจากการกระทำของเราเอง เพราะฉะนั้น พิบัติภัยทั้งหลายสามารถลดระดับความเสี่ยง ลดโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการป้องกัน
และหากเกิดขึ้นแล้ว ก็สามารถลดระดับความรุนแรง ลดความเสี่ยงและความสูญเสียได้ ด้วยการบริหารจัดการในสถานการณ์พิบัติภัยที่มีประสิทธิภาพ
3. สร้างแผนงานกู้วิกฤติที่ไร้รอยต่อ
เราควรมีแผนงานรองรับอย่างเป็นระบบที่จะกอบกู้วิกฤติจากอุบัติภัยต่างๆ
เมื่อเกิดเหตุ ผู้เกี่ยวข้องรับทราบทันทีว่าในพื้นที่เกิดเหตุนั้น ใครจะต้องทำอะไร
เมื่อไหร่จะต้องเสริมกำลัง ยกระดับ ดึงทรัพยากรจากส่วนอื่นๆ เข้ามาเสริม
เท่าที่ติดตาม กรณีถ้ำหลวง เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องสามารถประสานงานทั้งในระดับพื้นที่ ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ได้ดี น่าจะประยุกต์ใช้เป็นแบบเรียนเพื่อวางมาตรการสำหรับกรณีอื่นๆ ในอนาคตได้
4. สื่อกับเหตุการณ์วิกฤติภัยพิบัติ
ข่าวร้าย ขายดี
เป็นธรรมดาที่สื่อมวลชนจะให้ความสนใจกับข่าวพิบัติภัยร้ายแรง โดยเฉพาะถ้ามีเหตุวิกฤติ มีความเป็นความตาย มีผู้ประสบภัยที่มีเสน่ห์ น่าสนใจ มีเรื่องที่ต้องติดตามเกาะติด ว่าจะค้นพบหรือไม่ จะช่วยออกมาได้หรือไม่ จะรอดหรือไม่ แล้วก็จะมีการแข่งขันนำเสนอเพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชน โดยพยายามรายงานเร็วกว่า ลึกกว่า คู่แข่งในวงการสื่อช่องอื่นๆ
แต่ในสถานการณ์พิบัติภัย มีความเป็นความตาย และมีความสูญเสียของส่วนรวมเป็นเดิมพัน
การทำหน้าที่ของสื่อจึงน่าจะมีกรอบแนวทางปฏิบัติเช่นกัน
ในฐานะทำหน้าที่สื่อสารมวลชนมาหลายสิบปี มีความเห็นเบื้องต้น ดังนี้
4.1 ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงว่ามีอะไรเกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่อย่างไรเสียหายแค่ไหน อะไรอาจจะเกิดขึ้นต่อไป
4.2 ให้ความรู้ความเข้าใจให้การศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติที่เกิดภัยพิบัติขึ้น เช่น
ถ้ำหินปูนเกิดจากอะไรทำไมจึงอยู่คู่กับน้ำ?
ทำไมทะเลอันดามันจึงมีคลื่นสูงในฤดูมรสุม? เป็นต้น
4.3 การสะท้อนความรู้สึกความเห็น ซึ่งถ้าเป็นในแนวทางที่เป็นบวก ก็จะเป็นการให้กำลังใจ
อย่าลืมว่าสื่อก็คือมนุษย์ จะต้องมีความเป็นมนุษย์ แต่ไม่ใช่โกหกปิดบังความจริงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
4.4 สื่อชอบแสวงหาจุดบกพร่อง หาคนผิดหาคนรับผิดชอบ หรือหาฮีโร่ของสถานการณ์นั้นๆ
กรณีนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการสื่อ เพราะเป็นรูปแบบการผูกเรื่องและการเล่าเรื่องอีกแนวทางหนึ่ง
แต่สื่อจะต้องไม่บกพร่องต่อการทำหน้าที่ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน และเพียงพอ โดยลำดับความสำคัญของประเด็น ว่าเรื่องแก่นสาระของสถานการณ์นี้คืออะไร? มิใช่สถานการณ์ที่จะหาคนรับผิด หรือสถานการณ์ที่จะปั้นวีรบุรุษ หรือปั้นดาราคนใหม่
4.5 การทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ปัญหาอยู่ที่การตั้งประเด็นและการตั้งสมมุติฐาน
เราควรสนับสนุนให้สื่อทำหน้าที่ในเชิงสืบสวนมากขึ้น ซึ่งจะต้องพัฒนาทักษะในการทำงานขึ้นไปอีกระดับ โดยจะต้องมีความแม่นยำในการจับประเด็นของเหตุการณ์ ตั้งโจทย์ที่ถูกต้อง อยู่บนสมมุติฐานที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด ถ้ามิเช่นนั้น การสืบสวนก็จะไม่ต่างจากการเขียนนิยาย
4.6 โลกปัจจุบัน ใครๆ ก็สามารถสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ส่วนตัว
สื่อสังคมออนไลน์ทำหน้าที่ในการสื่อการอย่างฉับไว และสามารถเข้าถึงแหล่งข่าวหลากทิศ หลากมิติ เช่น สื่อสารจากญาติ ผู้ปกครอง เพื่อนนักเรียน จากผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก จากผู้คนในวงการต่างๆ ทั่วโลก ฯลฯ
ข้อมูลจำนวนมากไหลหลั่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีทั้งจริงและเท็จ
ข่าวลือในสังคมออนไลน์ สะท้อนความจริงไม่ได้ แต่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกได้
ข้อมูลหลากหลายในสื่อสังคมออนไลน์ มีทั้งที่เป็นประโยชน์และไร้ประโยชน์
สื่อมวลชน ยังจะต้องเป็นเสาหลักในการอ้างอิงความถูกต้อง เป็นผู้คัดเลือกสารที่จะถูกสื่อออกไปสู่สาธารณชนวงกว้าง ว่าข้อมูลไหนคือข้อมูลที่กลั่นกรองแล้ว ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์นั้นๆ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี