แนวหน้าหนังสือพิมพ์คุณภาพ ทุกบรรทัดคือสาระและข้อเท็จจริง...nn ทยอยออกมาแล้วสำหรับ “13 หมูป่า”...nn ขณะเดียวกันกับเหตุเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ตนั้น ยอดผู้เสียชีวิตก็พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหายทะลุ 40 ศพ ยังไม่รวมผู้สูญหายอีกสิบกว่าชีวิต...nn นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเมืองไทยของเรา?...nn กับกรณีเหตุการณ์ “13 หมูป่า” ถือว่าเป็น “บทเรียนใหม่” ของสังคมไทย แต่แม้จะเป็นเหตุการณ์ใหม่ บทเรียนใหม่ แต่หลายหน่วยงานก็สามารถระดมสมอง แก้ปัญหาทำงานร่วมกันได้อย่างน่าชื่นชม...
nn ฟังกันชัดๆ จากปาก “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รมว.มหาดไทย “อย่างเรื่องที่จ.เชียงรายเกิดขึ้นเสี้ยวหนึ่งของอ.แม่สาย แต่ใช้หลายหน่วยงานจนเกิดเป็นศูนย์อำนวยการร่วม และมีหน่วยงานในต่างประเทศเข้าช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใย ทรงให้กำลังใจ และทรงพระราชทานให้ทำงานที่มีแผนงานชัดเจน มีผู้รับผิดชอบชัดเจน แยกผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป นอกจากนี้ ยังทรงชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของทุกคนทำให้เกิดความสำเร็จ” อยากให้ผู้ว่าฯบริหารจัดการการใช้กฎหมายให้เต็มที่ ใครเก่งให้นำมาช่วยงาน ใช้คนให้ได้ หากเกิดเหตุสาธารณภัย ผู้ว่าฯต้องตั้งศูนย์อำนวยการร่วมหรือกองบัญชาการร่วมขึ้น เรื่องที่จ.เชียงรายเป็นบทเรียนที่ต้องพัฒนา”...
nn แต่สำหรับเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต “คชสีห์” ถือเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติ คลื่นลมทะเลที่รุนแรง ซึ่งมนุษย์ป้องกันล่วงหน้าไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่รับฟังได้ แต่ที่น่าตกใจก็คือ มีการออกมาเปิดประเด็นว่า เรือที่ล่มลงนั้น มีคนจีนเป็นเจ้าของ ธุรกิจทัวร์ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นของคนไทย แต่เจ้าของจริงๆกลับเป็นคนต่างชาติ คนไทยเป็นเพียงนอมินีหุ่นเชิดเท่านั้น...
nn และคนที่ออกมาเปิดประเด็นแฉในเรื่องนี้ก็คือ “พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล” รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว โดยนายตำรวจคนดัง ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเรือทั้ง 3 ลำ ประกอบด้วย เรือฟินิกซ์ ทีจีไดวิ่ง ที่ล่มตรงเกาะเฮ เรือเซเรนาต้า ที่ล่มตรงเกาะไม้ท่อน-เกาะเฮ และ เรือเจ๊ตสกี ที่ล่มตรงเกาะราชา ทำให้พบว่าเป็นเรือที่ไม่ได้มาตรฐาน และมั่นใจแล้วว่า ที่แน่ๆ แล้ว 1 ลำ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนต่างชาติ ที่ประกอบกิจการทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ถูกจับกุมยึดทรัพย์ไปก่อนหน้านี้...
nn “...สำหรับนายทุนชาวจีน มีข้อมูลว่าได้เข้ามาแพร่อิทธิพลในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยในอดีต มีการให้คนไทยถือครองสิทธิ์เป็นนอมินี ทำกิจการทัวร์ในลักษณะศูนย์เหรียญ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนรูปแบบการประกอบธุรกิจ โดยการเช่าเรือสำราญ หรือเรือยอชต์ ทำธุรกิจให้บริการไดวิ่ง หรือธุรกิจดำน้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่.”...
nn น่าตกใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อ “เกษมสันต์ วีระกุล” นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากบริษัททัวร์ ฝ่าฝืนคำเตือนจากตำรวจท่องเที่ยว ห้ามนำเรือออกจากฝั่ง เนื่องจากสภาพอากาศและคลื่นลมทะเลอยู่ในขั้นวิกฤติ ส่งผลให้เรือล่มกลางอันดามัน นักท่องเที่ยวต่างชาติสูญหายหลายสิบชีวิต...
nn “ความจริงที่เจ็บปวดของการท่องเที่ยวภูเก็ต คนจีนใช้ นอมินี (คนไทย) จดทะเบียนเป็นเจ้าของ โรงแรม เรือ รถบัส ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก คนจีนมาเที่ยวเยอะ แต่รายได้เข้ากระเป๋าคนจีนหมด แม้แต่ไกด์ยังใช้คนจีน คนไทยไม่ไดอะไรเลย นอกจากทรัพยากรถูกทำลาย ทำธุรกิจมักง่าย เอาแต่ได้ เกิดอุบัติเหตุมีคนตาย ประเทศไทย คนไทย ธุรกิจไทยเสียหาย ต้องเอาผิดให้หนัก ทั้งคนจีน นอมินี และหน่วยงานที่ปล่อยปละละเลย”...
nn สรุปก็คือ ทั้งความเห็นของตำรวจ และนักวิชาการนั้นตรงกันว่า บริษัทท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในจังหวัดภูเก็ต เจ้าของที่แท้จริงคือคนจีน ส่วนคนไทยเป็นเพียงนอมิมี ร่างทรงเท่านั้น ซึ่ง “คชสีห์” ว่า รูปแบบการเปิดบริษัทในลักษณะนี้ไม่น่าจะเกิดกับจังหวัดภูเก็ตเพียงจังหวัดเดียวเท่านั้น จังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ รวมทั้งพัทยานั้นมีแน่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็ถือเป็นหน้าที่โดยตรงของตำรวจท่องเที่ยว จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้...
nn ก็รอดูฝีมือของนายตำรวจคนดังกันต่อไปว่า จะแก้ปัญหานอมินี รวมไปถึงทัวร์ศูนย์เหรียญได้หรือใม่? เพราะใต้ฟ้าเมืองไทย “พล.ต.ต.สุรเชษฐ์” น่าจะทำได้ทุกคดี ประชาชนคุ้นหูชื่อเสียง จดจำชื่อได้ดีกว่าผบ.ตร.ซะด้วยซ้ำ ฉะนั้น งานดูแลป้องกัน ป้องปรามและปราบปรามทางด้านท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นสายงานโดยตรง ก็น่าจะแก้ปัญหาและทำได้ดี!!...nn
คชสีห์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี