ถือเป็นความก้าวหน้า สำหรับนโยบายที่จะให้ปลดล็อกการใช้กัญชาในทางการแพทย์
นพ.โสภณ เมฆธน ประธานคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ถึงขนาดเปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 ว่า ราวๆ วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 จะต้องสามารถนำกัญชามาใช้เป็นยาทางการแพทย์ หรือศึกษาวิจัยในมนุษย์ได้
“คณะกรรมการจะมีคณะทำงาน 4 คณะ ซึ่งแต่ละคณะต้องไปวางกรอบระยะเวลาในการทำงานให้ชัดเจน เช่น คณะทำงานเพื่อพัฒนาการสกัดฯ จะทำอย่างไรให้มีน้ำมันกัญชาหรือยากัญชาใช้ภายในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 หรือคณะทำงานเพื่อวางระบบการควบคุมฯ ที่มีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหลัก ก็ต้องไปออกกติการะเบียบต่างๆ ทำอย่างไรให้มีผลิตภัณฑ์ใช้ ใช้ทางการแพทย์ทำอย่างไร ใครจะเป็นคนสั่งจ่าย การศึกษาวิจัยทำอย่างไร ผลิตระดับอุตสาหกรรมทำอย่างไร เป็นต้น โดยการประชุมครั้งหน้า แต่ละคณะทำงานต้องวางกรอบการทำงานที่ชัดเจนแล้ว ว่า การผลิต การสกัดจะเริ่มได้เมื่อไร จำนวนน้ำมันกัญชาต้องใช้มากเท่าไร ซึ่งจะช่วยเรื่องของการวางแผนผลิต ถ้าไม่ทันต้องนำเข้าหรือไม่ เป็นต้น เพื่อให้ทั้งหมดมีการใช้ได้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562” นพ.โสภณ กล่าว
1.นพ.โสภณ ให้รายละเอียดผ่านสื่อมวลชนด้วยว่า คณะทำงานเพื่อพิจารณาการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย รายงานความคืบหน้า
ในส่วนแผนปัจจุบัน พบว่า โรคที่มีการศึกษาวิจัยชัดเจนแล้วว่าใช้กัญชาได้มี 3 กลุ่ม คือ แก้คลื่นไส้อาเจียนในคนไข้มะเร็งที่รับยาเคมีบำบัด โรคลมชักในเด็ก และปลอกประสาทอักเสบ ส่วนโรคที่มีการศึกษาวิจัยแต่ยังไม่ชัดเจน เช่น ลมชักที่ดื้อยาอื่นๆ การมีผลต่อเซลล์มะเร็งในคนหรือไม่ พาร์กินสัน และจิตเวช อย่างอัลไซเมอร์
ส่วนแพทย์แผนไทย มีการยกเข้ามา 4 ตำรับ ซึ่งขอให้คณะทำงาน ไปศึกษาว่า ตำรับที่ต้องใช้ประกอบด้วย แคนนาบิดอยล์ หรือ CBD และ เตตระไฮโดรแคนนาตินัล หรือ THC อัตราส่วนเป็นอย่างไร ปริมาณคนไข้ทั้งหมดเยอะหรือไม่ เพื่อจะได้ทราบว่าจะต้องมีน้ำมันกัญชาหรือยากัญชามากเท่าไร
เมื่อมีผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการใช้วิธีสกัดกัญชาแบบพื้นบ้าน
นพ.โสภณ ตอบว่า กัญชาน่าจะสกัดง่ายด้วยเอทานอล แต่อาจจะอันตราย ก็ไม่แนะนำให้ไปทำเอง ส่วนในระดับอุตสาหกรรมจะมีระบบการควบคุม แต่ในต่างประเทศบางแห่งหันมาใช้คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นระบบที่ปลอดภัยกว่า อภ.ก็ต้องไปดูว่า สกัดด้วยวิธีไหนปลอดภัย หรือได้ตัวยามากกว่ากัน และเปรียบเทียบความคุ้มค่า
2.ล่าสุด ในรายการวิทยุ FM 101 รายการห้องข่าว 101 ได้สัมภาษณ์แพทย์แผนไทย คุณณัฐวัฒน์ ชินธนะเศรษฐ์(คุณหมอออกัสท์ไทยแลนด์) อนุกรรมการและเลขานุการ คณะอนุกรรมการวิจัยและพัฒนายาเสพติดประเภทที่ 5 เพื่อใช้ในทางการแพทย์แผนไทย
หมอออกัสท์ ได้มีการตั้งข้อสังเกต แสดงความห่วงใยว่า แนวทางปฏิบัติอาจนำไปสู่การตั้งเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้แพทย์แผนไทยมีอุปสรรคที่จะใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ได้อย่างแท้จริง
เกรงว่า หากมีข้อกำหนดอันมีผลให้ใช้วิธีสกัดสารในกัญชา ด้วยวิธีการใช้คาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น Supercritical CO2 ซึ่งบริษัทยาต่างชาติจะได้เปรียบ จะเป็นการตัดตอนวิธีการสกัดแบบพอเพียงพึ่งตนเอง ไทยทำ ไทยใช้ เช่น สกัดด้วยแอลกอฮอล์ น้ำมันงา จะกระทบกับการใช้กัญชาตามวิธีการแพทย์แผนไทย
อย่างร้ายแรง
การรักษาด้วยมรดกภูมิปัญญาไทย อาจจะถูกนิยามว่า ไม่ทันสมัย ไม่ปลอดภัย ตามมาตรฐานสากล
ผลสุดท้าย อาจเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจยายักษ์ใหญ่
คนไทยจะผลิตยากัญชารักษาคนไทย ด้วยภูมิปัญญาไทยไม่ได้
3.ข้อสังเกตข้างต้น นับว่าสนใจ
นพ.โสภณ เมฆธน ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียง ซึ่งร่วมในคณะทำงานชุดนี้ ควรจะได้ชี้แจง และยืนยันเจตนารมณ์สำคัญ ว่าแนวทางที่ออกมาจะเปิดกว้างสำหรับการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ และสนับสนุนการแพทย์แผนไทยอย่างถึงที่สุดเพราะเป็นองค์ความรู้มรดกทางภูมิปัญญา มีนับร้อยนับพันตำรับยาที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบ สามารถใช้วิธีการสกัดสารในกัญชาตามวิถีภูมิปัญญาดั้งเดิมได้ โดยไม่มีการตั้งเงื่อนไขอันจะเป็นการกีดกัน ตามข้อห่วงใยข้างต้น
เพราะถ้าเป็นไปตามข้อสังเกตนั้น ก็จะไม่ใช่แค่การ “เสียของ”
แต่จะเข้าข่าย “เตะหมู เข้าปากหมา”
เชื่อว่า ไม่ใช่เจตนารมณ์ของการขับเคลื่อนการปฏิรูปในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ขึ้นต้นเป็นการ “ปลดล็อกกัญชาเพื่อการแพทย์”
ลงท้าย ต้องไม่กลายเป็น “เอื้อผูกขาด”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี