ต่อภัสสร์ : พ่อเคยถูกถามบ้างไหมครับว่าในฐานะนักวิชาการ ทำการศึกษาวิจัย และเขียนบทความเปิดโปงกระบวนการทุจริตและวิธีการต่อต้านคอร์รัปชันมามากมาย สร้างผลกระทบได้จริงหรือไม่ หรือสุดท้ายแล้ว ทั้งงานวิชาการและบทความเหล่านี้ก็ได้แต่ไว้ผ่านสายตาผู้อ่านให้รู้สึกดีเฉยๆ แล้วก็เอาขึ้นหิ้งต่อไป ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้จริง
ต่อตระกูล: แน่นอน เคยโดนถามอยู่เป็นประจำตั้งแต่เริ่มทำงานเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันมาเมื่อ 15 ปีที่แล้ว แรกๆ ที่ถูกถามคำถามนี้ก็รู้สึกน้อยใจอยู่เหมือนกัน แต่พอกลับมามองทบทวนดูว่างานวิชาการต่างๆ นั้น ใช้ประโยชน์ไม่ได้เลยจริงๆ อย่างที่เขาถามมาหรือ ก็พบว่าไม่ใช่ เพียงแต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น อาจไม่รวดเร็วทันใจผู้ถาม หรือ ไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่มากพอที่จะทำให้คนจำนวนมากรู้สึกได้
พ่อจะยกตัวอย่างงานชิ้นหนึ่งที่เคยศึกษาไว้เมื่อหลายปีก่อนว่าจะเป็นอาวุธสำคัญในการต่อต้านคอร์รัปชันในวงการการก่อสร้างได้ และได้เริ่มผลักดันให้เกิดขึ้นจริงแล้ว คือเรื่องการส่งเสริมให้มีความโปร่งใสในการประมูลงานก่อสร้างภาครัฐ โดยการเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอนต่อสาธารณะ ให้รู้ว่าหน่วยงานไหนจะมีการประมูลอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ในราคากลางเท่าใด และมีการกำหนดเงื่อนไขกติกา (TOR) ไว้อย่างไร มีการกำหนดอะไรไว้ที่เอื้อต่อผู้ที่จะเข้าประมูลรายใดรายหนึ่ง หรือที่เรียกว่าการล็อกสเปกหรือไม่ จนปัจจุบันมาตรการนี้ได้ถูกกำหนดอยู่ใน พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่ ที่ได้มีผลบังคับใช้จริงแล้ว ในส่วนราคากลางก็ถูกกำหนดโดย ป.ป.ช. ให้ต้องเปิดเผยตัวเลขและเปิดเผยชื่อผู้ทำราคากลางด้วย ในส่วนของความโปร่งใสในการกำหนดเงื่อนไขกติกา (TOR) ในการประมูล ปัจจุบันก็มี “ข้อตกลงคุณธรรม” ที่กำหนดให้มีคณะผู้สังเกตการณ์อิสระ (Independent Observer) เข้าไป สังเกตการณ์การประชุมจัดทำร่าง TOR ได้อย่างใกล้ชิดด้วย มีผลให้การประมูลของรัฐในระยะที่ผ่านมา ประหยัดงบประมาณลงได้ถึง 6.12 พันล้านบาท หรือประมูลได้ต่ำกว่างบประมาณถึงร้อยละ 19 เลยทีเดียว
กลับมาที่ลูกบ้าง ที่ถามแบบนี้แสดงว่าถูกถามมาเหมือนกันหรือ แล้วคิดอย่างไรเมื่อถูกถามแบบนี้
ต่อภัสสร์: จริงๆ ผมก็ถูกถามเป็นประจำตั้งแต่เริ่มตัดสินใจจะทำปริญญานิพนธ์เรื่องการคอร์รัปชันแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เพราะตอนนั้นงานวิจัยก็ยังไม่จบ และยังนึกไม่ออกว่าจะนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์จริงอย่างไรได้ตามที่ถามมาเลย แต่พอเรียนจบแล้ว เข้ามาสู่สมรภูมิจริงของสงครามกับการคอร์รัปชันก็ได้พบว่างานวิชาการนั้นเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในการต่อสู้นี้ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
วิชาการต้านโกงที่ผมกล่าวถึงนี้ หากพิจารณาคำดีๆ จะพบว่ามี 2 ความหมายแอบแฝงอยู่ ความหมายแรก คือ
“วิชาการ” ที่มักเป็นกรอบทฤษฎี งานวิจัย บทความที่ศึกษาและวิเคราะห์เรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านการคอร์รัปชัน และความหมายที่สอง คือ “วิชา” ที่ใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งทั้งสองความหมายนี้มีความเชื่อมโยงกันอยู่อย่างมาก และในความเห็นของผม เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการต่อสู้กับการคอร์รัปชัน
สำหรับความหมายแรก ผมเห็นด้วยตามที่พ่อกล่าวมาเลยว่า วิชาการความรู้นั้นหลายๆ ครั้งกว่าจะนำมาใช้จริงให้เกิดผลได้ ต้องใช้เวลานานเหลือเกิน จนบางครั้งรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าไม่มีองค์ความรู้เหล่านี้ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่วันนี้เราจะมีนโยบายการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้าง ที่สามารถนำไปสู่การตรวจสอบได้ง่ายและไม่เป็นภาระแก่เจ้าหน้าที่มากจนเกินไป หรือก็คงไม่มีแนวคิดจะเริ่มรวบรวมรหัสวัสดุก่อสร้าง เพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร
ผมขอยกตัวอย่างงานวิจัยบางชิ้นที่ผมได้ร่วมศึกษากับคณะวิจัย SIAM lab ของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่กำลังจะได้นำผลไปใช้ประโยชน์จริงแล้ว งานวิจัยชิ้นหนึ่งคือการศึกษาเครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันในไทย ว่าปัจจุบันมีจำนวนเท่าไหร่ ทำงานประสานกันอย่างไร และมีวิธีการใดบ้างที่จะสร้างความร่วมมือกันอย่างยั่งยืน โดยไม่เป็นภาระขององค์กรใดองค์หนึ่ง ผลการวิจัยในระยะแรกของงานชิ้นนี้ ได้นำไปสู่การออกแบบแบบจำลองความเชื่อมโยงกันของกลุ่มสื่อสืบสวนสอบสวนเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชันจริงแล้ว และสนับสนุนการทำงานของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนธรรมาภิบาลไทยอีกด้วย
สำหรับความหมายที่สองนั่นคือ “วิชา” การต้านโกงนั้น ก็เกิดขึ้นมาได้จากความหมายแรก คือต้องมีองค์ความรู้มาก่อน จึงนำไปออกแบบหลักสูตร เพื่อถ่ายทอดสู่สังคมในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิผล อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสนใจว่าตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มีโครงการอบรมหลักสูตรคุณธรรม ความซื่อสัตย์ ที่มีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางกว่า 15 โครงการ มีผู้เข้าร่วมกว่า 3 ล้านคน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเยาวชน ความท้าทายจึงไม่ใช่การสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการเรียบเรียงองค์ความรู้นี้อย่างไร ให้มีความน่าสนใจ และมีความเป็นรูปธรรมมากกว่าแค่สอนให้เป็นคนดี ผลศึกษาจากงานวิจัยเรื่อง ใจบันดาลแรงสู่แรงบันดาลใจ เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน ของ SIAM lab พบว่ารูปแบบการปลูกฝังมีความสำคัญมาก โดยพบว่าการสอนผ่านหลักสูตรต่างๆ นี้เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งในหลายๆ ช่องทาง เช่น การปลูกฝังผ่านการเล่นเกมส์ การถอดบทเรียนจากประสบการณ์ทำงานจริง หรือการแนะนำเครื่องมือการร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น นี่จึงเป็นที่มาของโครงการเยาวชนตื่นรู้สู้โกง (Active Youth) โดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และมูลนิธิเพื่อคนไทย ที่มีเป้าหมายออกแบบ วิชาการต้านโกง ที่ไม่ใช่เพียงหลักสูตรอบรมในโรงเรียนเท่านั้น แต่เป็นการรับรู้ผ่านช่องทางที่หลากหลาย และมีสามารถสะท้อนความเป็นจริงของสังคมได้ด้วย
ต่อตระกูล: หวังว่าสิ่งที่เราคุยกันในบทความตอนนี้จะตอบคำถามในใจของท่านผู้อ่านหลายๆ ท่านได้ว่าวิชาการและวิชา การต้านโกงนั้น สำคัญต่อการต่อต้านการคอร์รัปชันมากเพียงใด และที่ผ่านมาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาการคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่กว้างใหญ่และมีผลกระทบยาวนาน ดังนั้นการแก้ไขทีละจุดๆ อาจไม่ทำให้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วได้ แต่เมื่องานวิชาการได้ถูกถอดเป็นบทเรียนในการออกแบบวิชาที่มีประสิทธิผล สร้างความตื่นรู้สู้โกงให้กับคนไทยได้อย่างกว้างขวางได้แล้ว ผลกระทบขนาดใหญ่ที่คนไทยหวังจะได้เห็นกันก็จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี