จบสิ้นเสียทีนะ กับนิมิตเลอะเทอะของ นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เลิกคุยกับฤษีได้แล้ว บอกท่านด้วยว่า บอกผิด!!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ค. นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าสำนักสุขิโต จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า นิมิตจากหลวงปู่ฤษีเกวารัญ ถึงเหตุ 13 ชีวิต เด็กนักบอลทีมหมูป่าและโค้ช ติดถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จะยังไม่ได้ออกจากถ้ำใน 2 วันนี้ ต้องใช้เวลาอีกระยะไม่น่าเกินในเดือนนี้ เป็นชะตากรรมของเด็กและโค้ช รับเคราะห์จากภัยธรรมชาติ ซึ่งอยู่นอกเหนือมนุษย์ควบคุมไม่ได้ คงต้องรอเวลาอีกสักพัก และด้วยแรงใจคนทั้งโลกทำให้ทั้ง 13 ชีวิตหลุดพ้น รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้รอดทุกคน
“อาจารย์ดูแล้ว จากนิมิตของหลวงปู่ว่ารอดทุกคน ฝากแรงใจช่วยภาวนาให้ภัยธรรมชาติปัจจุบันลดลง เพราะเวลานี้คนไทยต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติ อย่างที่ผมเกริ่นตั้งแต่ต้นปีนี้ว่า บ้านเมืองน่าห่วงมากมีเคราะห์กรรมเรื่องภัยพิบัติน้ำรุนแรง แต่ไม่เท่าปี’54 โดยตอนนี้มาเกิดกับเด็ก จึงต้องรอก่อนอีกไม่นานก็จะออกมาได้ทุกคน ซึ่งภายใน 2 วันยังออกไม่ได้แน่ แต่ได้ออกภายในเดือนนี้ หรืออย่างเร็วสัปดาห์หน้า เพราะน้ำจะลดจนสามารถออกมาได้เอง” นายวารินทร์ กล่าว
นายวารินทร์ กล่าวอีกว่า คงต้องใช้เวลาอีกนิดหนึ่งถึงจะออกได้ ตอนนี้เกี่ยวกับเภทภัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ หลังจากนี้ไปทุกอย่างคลี่คลาย และขอเตือนว่า อย่าพาเด็กๆ ดำน้ำออกมา มันเสี่ยงเกินไป ทั้งนี้ สัปดาห์หน้าจะเบาลงเรื่องน้ำ ให้เวลาให้น้ำลด
“หากระดมกำลัง ดำน้ำออกมาเสี่ยงมาก ขอเตือนว่าอย่าทำต้องรอ ช่วงนี้ควรทำให้น้ำลดเจ้าหน้าที่ต่างๆ ช่วยกันพยายามเคลีรย์น้ำก่อนจะดีกว่า ถ้าดำน้ำออกมาอันตรายมาก ผมเป็นห่วง
เพราะเด็กๆ เหล่านี้ ไม่เคย ยิ่งในห้วงเวลานี้ไม่เหมาะสม อีกทั้งระยะทางไกล เด็กอยู่แต่ในถ้ำกว่า 10 วันสภาพร่างกายไม่พร้อม ขอให้รอธรรมชาติสงบ เจ้าหน้าที่ไปทำงานเรื่องน้ำ จากนี้ไปฝนจะน้อยเบาลงทุกอย่างจะรอดปลอดภัยออกมาได้ ขอเป็นกำลังใจด้วยความเป็นลูกหลานเรา ถ้าดำน้ำเป็นห่วง ทั้งคนพามาและเด็ก อย่าไปเสี่ยง ทุกฝ่ายต้องใจเย็นคงอีกไม่กี่วัน น้ำจะลด ตอนนี้เป็นห่วงบ้านเมืองในเรื่องภัยพิบัติมากกว่าเรื่องการเมืองไม่น่ากังวล เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินตามโรดแมป มีเลือกตั้งแต่การช่วยเด็กต้องรอเวลาเป็นที่สำคัญที่สุดในการนำ13 ชีวิตออกจากถ้ำ ซึ่งคนทั่วโลกต่างคอยเป็นกำลังใจรอดปลอดภัย” นายวารินทร์ กล่าว
นายวารินทร์พูดวันที่ 7 ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น ทีมหมูป่าออกจากถ้ำได้ 4 คน วันที่ 9 ออกมาได้อีก 4 คน ไปบอกหลวงปู่ฤาษีให้บำเพ็ญตบะเพิ่มด้วยนะ เพราะที่บอกว่า “จะยังไม่ได้ออกจากถ้ำใน 2 วันนี้” มันจบแล้ว จบพร้อมกับการที่สังคมไทยควรจะฝังกลบฤาษีกับร่างทรงรับนิมิตคู่นี้เสียที!!
นี่คือ 1 ในตัวอย่างของหลายๆ สิ่ง ที่ “ถ้ำหลวง” เปิดตา-เปิดสมอง-เปิดการเรียนรู้ให้แก่เรา ซึ่งมีอีกหลายเรื่องที่ควรถอดบทเรียนมาเรียนรู้ร่วมกัน
1) นี่อาจเป็นครั้งแรกที่คำว่า “ผู้บัญชาการสถานการณ์” เป็นคำที่ทำให้คนเห็น “ประสิทธิภาพ” และรู้สึกว่า “สำคัญมาก” มันไม่ใช่ตำแหน่งเท่ๆ แต่เป็น “ความรับผิดชอบ” ต่อ “ภารกิจที่สำคัญ
มาก” ผู้บัญชาการสถานการณ์คือเสาหลักของการ “ตัดสินใจ” และ “ประสานงาน” ต้องถึงพร้อมทั้งสติ ปัญญา มนุษยสัมพันธ์ วุฒิภาวะอารมณ์ และความสามารถในการสื่อสาร
คิดดูเถอะ คนเป็นพันอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติ มีองค์ความรู้สารพัด และล้วนมีจิตเจตนาจะช่วยเด็ก หากผู้บัญชาการสถานการณ์ไม่แข็งพอ จะรับมือกับคนที่กำลังพลุ่งพล่าน ต้องการช่วย ไหวไหม?
หลายคนในจำนวนพันที่ว่า มีตำแหน่งใหญ่โตด้วยนะ แต่เมื่อเกิด “ภาวะผู้นำและผู้ตาม” ที่ดี การวิเคราะห์ข้อมูล และเลือกวิธีแก้ปัญหาตามสถานการณ์ด้วยความรู้ของที่ประชุมร่วม ก็ส่งผลเลิศของการปฏิบัติ นำมาสู่ความพร้อมเพรียงที่ยิ่งยวดขึ้น และเพิ่มพูนประสิทธิภาพถึงขีดสุด
2) ต่อไปนี้ ทุกสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นตึกถล่ม ไฟไหม้ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระเบิด เรือล่ม ฯลฯ สิ่งแรกที่ต้องมีคือ “ผู้บัญชาการสถานการณ์” ตามมาด้วย “เครือข่าย” และ “เครื่องมือ” สถานการณ์ที่ถ้ำหลวงทำให้เห็นว่า หากบูรณาการการทำงานร่วมกันให้เป็น อุปสรรคทั้งหลายก็พ่ายแพ้ “ความรู้” และ “การจัดการที่เป็นระบบ”
3) เครื่องมือที่ใช้ ผู้คนที่ใช้ ไม่ใช่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ไม่ใช่ของรัฐหรือกองทัพอย่างเดียว แต่มีของเอกชน ประชาชน จิตอาสา ระดมกันมา ทั้งที่ร้องขอและไม่ได้ร้องขอ มันคือ “พลังสามัคคี” ที่เป็นอาวุธอันคมกริบในการใช้ฟาดฟันกับปัญหาและอุปสรรค มันจึงน่ารัก น่ายกย่องไปหมด ตั้งแต่นักขุดเจาะน้ำบาดาล นักปีนผา-เก็บรังนก คนซักผ้า รถสุขา เครื่องสูบน้ำพญานาค นักสำรวจถ้ำ ตชด. แพทย์ ทหาร ตำรวจสื่อสาร การไฟฟ้า กู้ภัยแม่โจ้-เชียงใหม่-บุรีรัมย์ ฯลฯ ที่ไม่อาจกล่าวได้หมดหรือครบถ้วน มันทำให้เราจำฝังใจว่า “สามัคคีคือพลัง” อย่างแท้จริง
4) เครื่องมือและผู้คนเมื่อมาถึง จะเห็นว่ามีการ “เลือกใช้” และ “ไม่ใช้” บนพื้นฐานของความรู้ต่อเครื่องมือนั้นๆ และต่อความเข้าใจสถานการณ์ ซึ่งมีฝ่ายวิชาการร่วมให้ความเห็นและกลั่นกรองอย่างดี จึงเห็นได้ว่า หุ่นยนต์ดำน้ำ หรือแม้แต่เครื่องมือของอีลอน มัสก์ เขายังไม่ใช้เลย เพราะ “มันไม่เหมาะกับสภาพพื้นที่และสถานการณ์” คนเอามาให้ก็ไม่ได้ขุ่นเคือง แค่อยากให้มีเครื่องมือเพื่อเป็นทางเลือกของการช่วยเด็ก คนที่ตัดสินใจใช้หรือไม่ใช้ ก็ไม่ได้หมิ่นแคลนความปรารถนาดีและเครื่องไม้เครื่องมือเหล่านั้น เราพบกับ ทำงานกันด้วย “วุฒิภาวะทางอารมณ์” ที่ดีมากๆ ทำให้ลดความยุ่งยากที่จะต้องมานั่งชี้แจงแถลงไข
5) เอกภาพของการให้และไม่ให้ข้อมูล คิดดูเถอะ ปฏิบัติการมีทั้งในถ้ำและนอกถ้ำ ดิน น้ำ โพรงถ้ำ อากาศ และโรงพยาบาล ทุกงาน-ทุกคน สำคัญหมด หากทุกคนพากันให้สัมภาษณ์สื่อ อยากเป็นฮีโร่ หรือแสดงความเห็นต่อการทำงานของอีกชุดอีกทีมขึ้นมา จะโกลาหลขนาดไหน ดังนั้น การทำงานเพื่อเอางาน จึงเป็นคุณค่าน่ากราบที่สุดในงานนี้ ไม่มีการทำงานเพื่อเอาหน้า ทุกคนเลือกใช้เวลาไปเพิ่มประสิทธิภาพของงานที่มีเดิมพันเป็น “ชีวิตของเด็กและคนที่เข้าไปช่วย” อยู่ภายในถ้ำเป็นสำคัญ สื่อจึงต้องอยู่ในความสงบไปด้วยโดยอัตโนมัติ
6) กระนั้นก็ตาม เราเห็นการทำงานของสื่อ ที่มีทั้ง “พอดี-ดีพอ” และ “เกินพอดี” แต่ภาพรวม ผมถือว่าดีมากนะครับ สื่อรู้จักเคารพสถานการณ์ อยู่ในขอบเขต และสร้างกระแสเชิงบวกให้แก่สังคม ผมได้ดูการถ่ายทอดสดทางโซเชียลมีเดียอยู่ตอนหนึ่ง ซึ่งประทับใจมาก คือ เป็นตอนที่ “สกล จินดาวรรณ” จาก MCOT กำลังจะเปลี่ยนเวรการทำข่าวในพื้นที่กับนักข่าวอีกท่านหนึ่ง ก็พอดีเป็นจังหวะที่ท่านผู้บัญชาการสถานการณ์แถลงข่าวดี ว่าพบเด็กทั้ง 13 คนแล้ว ที่ “เนินนมสาว” ท่ามกลางเสียงไชโยของนักข่าวและผู้คนนอกถ้ำ สกลซึ่งเพิ่งไปถึงก็ต้องบรรยายเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ และได้เจอกับนักข่าวที่ตนกำลังจะสับเปลี่ยนเวร ทั้งคู่ก็สนทนาทบทวนเหตุการณ์ตั้งแต่ที่เริ่มมาทำข่าวจนได้ฟังข่าวดี ก็ไปจบตรงจุดที่ผู้ปกครองของเด็กติดถ้ำรวมกันอยู่พอดี
“ตรงนี้เป็นอะไร” สกลถาม
“ครอบครัวของเด็กๆ” เพื่อนนักข่าวตอบ
“เราสัมภาษณ์เขาได้ไหม”
“ไม่ได้ เป็นข้อตกลงว่าเราเข้าไปตรงนั้นไม่ได้ และอย่าเพิ่งสัมภาษณ์ครอบครัว”
ในที่สุดทั้งสองคนก็คุยกันเรื่องอื่น ให้ข้อมูลเรื่องอื่นไป ไม่ดึงดันที่จะเข้าไปสัมภาษณ์ ซึ่งในวินาทีนั้น ในทาง “ความเป็นข่าว” ความรู้สึก เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่น้ำตาของครอบครัวเด็กติดถ้ำ มีมูลค่าทางการข่าวที่ทุกช่องต้องแข่งขันกันสูงมาก ผมนั่งดูด้วยความรู้สึกชื่นชมว่า 2 ท่านนี้ ทำหน้าที่สื่อที่ดี มีกติกา และมีจิตสำนึกเชิงบวก เช่นเดียวกับเมื่อมองไปยังภาพรวม สื่อก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ยกเว้นเหตุการณ์ผลักนักข่าวต่างประเทศเพื่อจะเอาภาพและที่ว่างในการรายงานของตน การเอาโดรนขึ้นบินขณะเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงเด็กไปโรงพยาบาล การเอาข้อมูลจากวิทยุสื่อสารมารายงานด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและละเมิดสิทธิเด็ก/ผู้ประสบภัย การเกะกะบ้างในช่วงแรกๆ ของสื่อ แต่ที่เหลือ ทุกคนพยายามอยู่ในกติกาและให้ความร่วมมือ
7) จะมีปัญหาเดียว คือ พอข่าวนี้คนสนใจมาก ดึงเรตติ้งของทุกช่องและทุกแพลตฟอร์มขึ้น ทุกคนก็พยายาม หาข่าว” มารายงาน เพิ่มเวลาของการรายงาน การจัดรายการพิเศษ และการถ่ายทอดสด ที่นำมาสู่ข้อมูล “ย้วยๆ” คือ ข้อมูลสันนิษฐาน ข้อมูลคาดเดา ข้อมูล “มีรายงานว่า” และดาหน้ากันมาด้วยโหร ร่างทรง และอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งไม่นำไปสู่การเข้าใจสถานการณ์ตามความเป็นจริงและการมองเห็นเหตุการในเชิง “การจัดการ” และ “สติปัญญา” ของการเผชิญเหตุ ที่สื่ออื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น มุ่งเน้นเป็นพิเศษ เพราะเป็นสิ่งที่หากสังคมได้รับรู้และเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน มันเป็น “สาร” ที่เปลี่ยนแปลงสังคมและผู้คนได้ ในทางการพัฒนา
8) ในสถานการณ์เลวร้าย ก็ให้ความดีอย่างมากมายมหาศาล ให้คนลืมความขัดแย้งบาดหมางมารวมใจกัน สนับสนุน ร่วมมือ ชื่นชม เป็นกำลังใจ แก่คนทำงานทุกกลุ่มที่ทุ่มเทต่อการช่วยเหลือ “คนที่ไม่เคยรู้จัก” แต่นั้นคือ “เพื่อนมนุษย์” คือ “เด็ก” คือ ผู้ประสบภัย” เหตุการณ์ได้ดึงจิตใจของผู้คนให้ “สูงขึ้น” และให้การเรียนรู้ขัดเกลา ต่อวิธีคิดและคำวิพากษ์วิจารณ์ที่อาจล้นเกินในคนบางคน หรือ “พร่องความเป็นมนุษย์” ไปบ้าง ในคนหลายคน
แม้ต้องใช้งบประมาณมหาศาล แม้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ แต่ “ความคุ้มค่า” ในด้านอื่นๆ นั้น หากช่วยกัน “ถอดรหัส” ออกมา เหตุการณ์นี้ให้ “ประสบการณ์” ที่ล้ำค่า ทั้งแก่ประเทศไทยและโลกใบนี้อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี