พระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็ตก เกิดเป็นกลางวันสว่างกลางคืนมืด สลับกันไปมาทุกวี่วัน เป็นปกติ แต่เมื่อไหร่ที่บ้านเมืองใดไม่ปกติ มีการบริหารปกครองที่ล้มเหลว ก็มักจะใช้คำเปรียบเปรย ว่ายุคมืด (Dark Age) เพราะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นความหวัง ประเทศดูไร้อนาคต
เมืองไทยเรานั้นจัดได้ว่า เป็นประเทศอุดมสมบูรณ์ที่สุดประเทศหนึ่งของโลก นอกจากนั้นคนไทยยังเป็นคนโอบอ้อมอารี เต็มไปด้วยมิตรจิตมิตรใจ และความสนุกสนาน ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นที่ชื่นชอบตรึงตาตรึงใจของผู้คนทั่วโลก โดยผ่านๆ มา คนไทยก็ต่างเบิกบาน ด้วยความที่สังคมไทยเป็นสังคมเปิด และผู้คนมีสิทธิและเสรีภาพ
แต่บางช่วง สังคมไทยก็ถูกลากไปสู่ความหม่นหมอง เปรียบคล้ายกับจากน้ำข้าวแช่ซึ่งใสสะอาด หอมกรุ่นด้วยกลิ่นมะลิ และเยือกเย็นอุราด้วยเกล็ดน้ำแข็ง กลายไปเป็นสีของกาแฟดำที่ทึบแสงและมืดมน
4 ปีมานี้ สีหน้าแววตาของผู้คนชาวไทย จากที่เคยสดใสเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังถึงความก้าวหน้าของประเทศ และสังคม ทั้งทางเศรษฐกิจ และการเมือง ก็พลันเปลี่ยนแปลงไปเป็นไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส อมทุกข์ เพราะความหวังนั้นมันเลือนราง มองไม่เห็นอนาคตที่แจ่มใส
ซึ่งหากจะกล่าวว่า สังคมไทยได้ตกอยู่ในยุคมืดไปแล้ว ก็ไม่น่าจะเกินจริงนัก
มืด เพราะการบริหารประเทศที่ขาดประสิทธิภาพ
มืด เพราะผู้มีอำนาจรัฐต่างๆ ตกอยู่ในภาวะอวิชชา
มืด เพราะผู้มีอำนาจรัฐ เข้าใจไปเองว่าตนเองเท่านั้นที่เป็นความหวังของประเทศชาติ
มืด เพราะมีกลุ่มคนโลภอำนาจ กำลังส่งพลังกันครอบงำประเทศชาติ
มืด เพราะคนดีกลายพันธุ์ เลือกคบโจร และตีจากบัณฑิต
มืด เพราะมีการพูดจาแบบเบี่ยงเบน ถามอย่างตอบอย่าง โฉไปเฉมา
มืด เพราะมีความคิดกันว่า ต้องเอาโจรเป็นพวกเพื่อป้องกันโจร
มืด เพราะผู้คนต่างหลีกเลี่ยงที่จะร่วมกันแสดงความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง
มืด เพราะผู้คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ
มืด เพราะสังคมชอบฟังเรื่องครึกโครมมากกว่าเรื่องจริงจัง เรื่องต้องใช้เหตุและผล
ที่สำคัญ มืด เพราะแม้แต่ประชาชนที่เห็นปัญหา จะออกมาพูดเตือนสติผู้มีอำนาจ ก็ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพไป
แล้วสังคมไทยจะแหวกออกจากความมืดมนของยุคมืดนี้ได้อย่างไร?
เริ่มต้น ก็คงต้องพึ่งกลุ่มผู้นำความคิดและนักเคลื่อนไหว ที่เดือดเนื้อร้อนใจกับความเป็นไปในสังคมไทย ณ วันนี้ ว่าไม่สามารถรับสภาพเช่นนี้ต่อไปได้ ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ได้หลบซ่อน เพราะคนดีศรีอยุธยามีอยู่ทั่วไปในสังคม เพียงแต่ว่าต้องอาศัยความกล้าหาญชาญชัย และมีความห่วงใย และเสียสละเพียงพอ ที่จะแสดงตนออกมาเพื่อรับใช้สังคม
ในเมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งทำให้สังคมมืดมน ก็จะต้องมีผู้คนส่วนหนึ่งที่ตระหนักให้สังคมสว่างไสวคู่กันเสมอ
หลังจากนั้นก็ต้องช่วยกันผลักดันสังคมไทยให้เดินหน้า โดยสิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัวกระตุ้นสังคมไทยให้รวมพลังกันเพื่อการเปลี่ยนแปลงก็คือ ความห่วงใยอนาคตประเทศชาติ ความห่วงใยในอนาคตลูกหลานของเรา ซึ่งหากเราคนไทยยังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ประเทศไทยก็คงจะยิ่งล้าหลัง และที่สำคัญเราทั้งหลายจะปล่อยให้ลูกหลาน และอนุชนรุ่นต่อไปตกอยู่ท่ามกลางความมืด โดยเป็นเพียงผู้รับคำสั่ง เป็นสังคมที่อยู่ใต้อาณัติอำนาจ และอยู่กับความหวาดกลัวอำนาจ ก็คงจะคิดอ่านตัดสินใจอะไรกันไม่เป็นอีกต่อไปไม่เหมือนกับการเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสังคมที่เปิดกว้าง ซึ่งผู้คนจะเป็นผู้ร่วมกันจรรโลงสังคมให้เจริญก้าวหน้า ซึ่งมองในแง่ใด ก็ดีกว่าการเป็นเพียงผู้รองรับอำนาจจากระดับบน
ในวันที่มืดมน อย่าปล่อยให้ใจมืดมนไปด้วย เราต่างต้องทำจิตใจให้เข้มแข็ง จุดไฟความคิดของเราให้สว่างไสวด้วยวิชา และอิสระเสรี และต่อประกายไฟนั้นให้กับคนรอบข้างในสังคม เมื่อประกายแสงเล็กๆ จากคนในสังคมมาอยู่รวมกันมากพอ เมื่อนั้นจึงจะสามารถขจัดความมืดที่ปกคลุมสังคมออกไปได้
เป็นหน้าที่ไทยเราทุกคน ที่จะต้องร่วมกันขจัดยุคมืดให้ออกไปจากสังคมไทย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี