ปรากฏการณ์การหลั่งไหลของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าช่วยเหลือเยาวชนทีมหมูป่าและโค้ช รวม 13 ชีวิต ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไม่ใช่เพียงบทพิสูจน์ถึงความสามารถในการเอาชีวิตรอดของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพิสูจน์ถึงการร่วมแรงร่วมใจระดมกำลังจากเจ้าหน้าที่หน่วยซีลและทีมค้นหา ตลอดจนทีมกู้ภัยต่างชาติ เพื่อเข้าช่วยเหลือเด็กๆ และโค้ชให้ปลอดภัย
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีรับสั่งให้กำลังใจผู้ประสบเหตุทั้ง 13 คน และผู้ปฏิบัติงานทุกนาย ตลอดจนมีพระราชกระแสรับสั่งให้จัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน การปฏิบัติงานในครั้งนี้
ผู้ที่ถูกมองว่ามีความโดดเด่นคนหนึ่งก็คือนายณรงค์ศักดิ์โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ที่จริงๆ แล้ววันนี้ต้องบอกว่าเป็นอดีตไปแล้ว เพราะถูกโยกย้ายไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา แต่ก่อนย้ายก็มีภารกิจที่ยิ่งใหญ่มาให้ทิ้งทวน และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการปัญหาได้อย่างเฉียบคมเป็นระบบและรวดเร็ว ตลอดจนการจัดการเรื่องคน อย่างการจัดการเจ้าหน้าที่นับพันคนที่มาจากต่างสายงานสายอาชีพ รวมถึงการรับมือกับสื่ออย่างเด็ดขาด และนุ่มนวลไปในคราวเดียวกัน จนได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งคนไทยและต่างชาติ หลายคน โดยเฉพาะชาวเชียงรายต่างเสียดายผู้ว่าฯ น้ำดีคนนี้ และอดคิดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจึงมีคำสั่งโยกย้าย
โดยหากฟังเหตุผลของ รมว.มหาดไทย ที่บอกว่า เป็นการโยกย้ายตามวงรอบ เพราะครบวาระต้องมีการโยกย้ายไม่เกี่ยวกับเรื่องอิทธิพล หรือผลประโยชน์ใดๆ แต่ในความเป็นจริงอีกด้านก็มีข่าวมาเหมือนกันว่า การโยกย้ายดังกล่าวเกี่ยวกับการที่ผู้ว่าฯไปขัดผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องจนเป็นเหตุให้มีการโยกย้ายใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการโยกย้ายนอกฤดูกาล คงต้องรอดูตุลาคมนี้อีกทีว่าท่านผู้ว่าฯ อาจจะได้ย้ายไปจุดที่สำคัญกว่านี้ก็เป็นได้ พอลองย้อนดูประวัติยิ่งน่าสนใจ ในฐานะพ่อเมืองที่เป็นคนตรง ชัดเจน เด็ดขาด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของความโปร่งใสที่มักถูกสกัดกั้นไม่ให้โครงการทุจริตต่างๆ เกิดขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ดังจะเห็นได้จากการยุติการดำเนินโครงการต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย ที่เห็นว่าเป็นโครงการสิ้นเปลือง มูลค่ากว่า 82 ล้านบาท เป็นที่มาของข่าวว่า สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น จนเป็นที่มาของการสั่งย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ก็เลยสร้างความสับสนให้กับประชาชนไม่น้อย หากย้อนกลับไปตลอดรัฐบาลนี้ก็มีการโยกย้ายข้าราชการมาแล้วหลายรอบ และเมื่อต้นรัฐบาลก็มีการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งใหญ่ โดยการใช้อำนาจตาม ม.44 และยังมีการโยกย้ายผู้ว่าฯจังหวัดต่างๆ อีกหลายรอบที่เป็นการโยกย้ายวาระปกติและนอกวาระปกติ
ทั้งการโยกย้ายผู้ว่าฯที่มีแววส่อเค้าทุจริตจริงเป็นเหตุให้ต้องเข้ารุกตรวจสอบ หรือกระทั่งการโยกย้ายเพื่อปรับองค์กรและความคล่องตัวในการทำงาน แต่ก็ทิ้งคำถามกับสังคมไม่น้อยว่าการโยกย้ายผู้ว่าฯจะช่วยแก้ปัญหาอย่างหนึ่งแต่ไปเพิ่มปัญหาอีกอย่างหรือไม่ เพราะบางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงการทำงานของราชการส่วนภูมิภาคมากไปหรือไม่? หรือบางครั้งก็เกิดคำถามว่าสาเหตุของการย้ายคืออะไร? เพราะอิทธิพลในพื้นที่ หรือเพราะต้องการส่งคนเก่งลงไปพัฒนาพื้นที่จริงๆ
การย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดนอกวงรอบจริงๆ แล้วก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่จะกระทำก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น เพราะตามปกติแล้วการที่ให้ผู้ว่าฯ ดำรงตำแหน่งครบวาระ จะเป็นการดีต่อการผลักดันนโยบายไปสู่การปฏิบัติมากกว่า เพราะนโยบายบางอย่างไม่สามารถทำสำเร็จได้ในเพียงช่วงเดือนหรือสองเดือน แต่เป็นนโยบายระยะยาวที่ควรจะมีผู้ควบคุมเพียงคนเดียวจนโครงการสำเร็จ เพื่อความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และคุ้มค่าที่สุดต่อเงินงบประมาณที่จัดสรรไป
นอกจากมีเหตุจำเป็นตามที่กล่าวมาข้างต้นอย่างเรื่องสงสัยทุจริต นอกจากการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว การใช้อำนาจ ม.44 ในการจัดการท้องถิ่นในส่วนของผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหลาย ทั้งการพักงาน การให้ดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง หรือการตั้งคนจากส่วนราชการอื่นๆ เข้าไปดำรงตำแหน่งแทน บางส่วนมีเรื่องทุจริตแต่บางส่วนก็อาจถูกมองว่าการแต่งตั้งข้าราชการไปแทนเป็นการกระทำที่ย้ำถึงการรวมอำนาจหรือไม่
แน่นอนว่าการพิจารณาพักงาน แต่งตั้ง โยกย้ายเป็นอำนาจที่ทำได้ด้วยอำนาจพิเศษ อย่าง ม.44 แต่ความจำเป็นเร่งด่วนและการปฏิบัติก็อาจจะจำเป็นต้องมีเรื่องราวอีกมากที่ควรพิจารณาถึงผลกระทบในภายหน้า ถ้าหากเป็นผลจากการส่อแววว่าจะทุจริตก็ควรมีระบบการตรวจสอบที่เป็นระบบ ให้มีการลงโทษอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การโยกย้ายช่วยเหลือแบบที่วัฒนธรรมองค์กรมหาดไทย รวมถึงระบบราชการไทยทำกันมาเนิ่นนาน คือ การโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นจนเรื่องเงียบแล้วสุดท้ายก็กลับมากินตำแหน่งเดิม ไม่ได้รับการลงโทษอะไร?
ที่ผ่านมามีทั้งตัวอย่างที่ไม่ดีที่ให้เห็น และตัวอย่างที่ดีที่มีการลงดาบจัดการอย่างจริงจัง เพื่อจัดการกับการทุจริตอย่างเด็ดขาด เหมือนกับอดีตผู้ว่าฯลำปาง ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญา ในคดีละเว้นการจับกุมผู้บุกรุกพื้นที่อ่างเก็บน้ำ เรื่องนี้ต้องชื่นชมว่าจัดการได้เด็ดขาด แต่อาจช้าไปจนหมดวาระไปแล้ว จากที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้บอกว่าการโยกย้ายข้าราชการนอกฤดูกาลทำไม่ได้หรือไม่มีความจำเป็นเพราะจริงๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือในการบริหารงาน แต่การโยกย้ายที่มีเหตุผลบ้างไม่มีเหตุผลบ้างของ คสช. ก็กำลังเป็นการเปิดช่องว่างให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยกมาเป็นข้อโจมตี
อย่างเช่น ในกรณีของพรรคเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่ออกมาแถลงข่าวโจมตีถึงการแทรกแซงภาคส่วนราชการว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และสร้างความล้มเหลวในหลายๆ ด้าน อาทิ ความล้มเหลวในการสร้างความปรองดอง ความล้มเหลวในการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ความล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น และความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ เป็นต้น
ซึ่งทั้งหมดถูกพูดทำนองว่า เป็นผลมาจากความไม่แน่นอน ไม่มืออาชีพ และยังแทรกแซงการทำงานของราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ซึ่งรัฐบาลต้องตระหนักถึงการใช้อำนาจบริหารอย่างถี่ถ้วน อย่าให้ประชาชนมองว่าไม่ต่างอะไรกับสมัยระบอบทักษิณที่มีการโยกย้ายราชการหลายครั้งที่ค้านสายตาประชาชน ตลอดจนถึงการตั้งตำแหน่งผู้ว่าฯ CEO ที่เข้าไปแทรกแซงข้ามหัวราชการส่วนภูมิภาคโดยตรงโดยจะตั้งใครตามใจนายกฯได้เลย หรือแม้กระทั่งสมัยโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่สุดท้ายแล้วศาลก็ตัดสินแล้วว่า การโยกย้ายนายถวิลไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้กับภาคราชการในการโยกย้ายข้าราชการว่า นอกจากจะเปิดช่องให้พรรคพวกตัวเองได้ขึ้นดำรงตำแหน่งแล้ว ต้องมีการคำนึงถึงธรรมาภิบาลด้วย
เรื่องการโยกย้ายข้าราชการในภาคส่วนต่างๆ อย่างไรก็ตามคงยากที่จะหลีกเลี่ยง ถ้าจะบอกว่าโยกย้ายเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน และการปรับองค์กรให้ใช้คนได้เต็มประสิทธิภาพก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าต้องทำหากทำให้การบริหารงานดีขึ้น และขอให้มีเหตุผลทุกครั้งในการย้าย ความตั้งใจในการปฏิรูประบบราชการของคสช. ก็ทำได้ดีในเรื่องของการปราบปรามทุจริตในภาครัฐ ทั้งในเรื่องของการทุจริตที่หมกเม็ดมานานอย่างเงินคนจน หรือเรื่องในวงการการศึกษาที่น้อยคนจะเข้าถึง ซึ่งนับว่ามาถูกทาง แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐบาล คสช. ต้องระวังคือการใช้อำนาจรัฐตรวจสอบอำนาจรัฐ อาจจะเป็นการตรวจสอบที่ไม่ยั่งยืน สิ่งสำคัญคือ การสร้างความตระหนักในการตรวจสอบผลประโยชน์ของตัวเองโดยประชาชน ผู้ที่ต้องเป็นหูเป็นตาในอนาคต แล้วเร่งสร้างกลไกตรวจสอบทุจริตที่เข้มแข็งโดยระบบให้เกิดขึ้นเสียที คสช.เข้าวาระปีที่ 4 แล้วหลายเรื่องทำได้ดีก็ควรทำต่อไป แต่เรื่องไหนที่ยังสะสางไม่เสร็จก็ควรต้องเร่งทำก่อนหมดวาระลง อย่าให้การเข้าสู่อำนาจในครั้งนี้ต้องสูญเปล่าอย่างที่พรรคฝ่ายตรงข้ามกล่าวหา เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังคาดหวัง และเชื่อมั่นในตัวพล.อ.ประยุทธ์ตลอดมา
“...การร่ำลามักสร้างความเศร้าสลดแก่ผู้คน...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง เล็กเซี่ยวหงส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี