คุณคำนูณ สิทธิสมาน ได้เล่าถึงแนวทางการปฏิรูปตำรวจ ฉบับที่กำลังร่างเป็นกฎหมายกันอยู่ในขณะนี้ ผ่านทางเฟซบุ๊คส่วนตัว ได้ข้อมูลที่เห็นภาพชัดเจนมาก
หนึ่งในเรื่องสำคัญ คือ การยกเครื่องโรงพักทั่วประเทศ 1,482 แห่ง
เพื่อให้ทรัพยากร ทั้งอัตรากำลังพลและงบประมาณ ได้รับการจัดสรรกระจายลงไปที่จุดใกล้ตัวประชาชนที่สุด คือ สถานีตำรวจหรือโรงพัก 1,482 แห่งทั่วประเทศ
และให้ทุกโรงพักมีโอกาสได้รับงบประมาณสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ได้โดยตรง
โดยระบุด้วยว่า อัตรากำลังพลส่วนที่ขาดมากที่สุด คือ ส่วนที่ประจำอยู่ ณ โรงพัก
“...แต่ในขณะที่สภาวะขาดแคลนกำลังพลและงบประมาณในระดับโรงพักยังไม่รับการแก้ไขเท่าที่ควร กลับพบว่าที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจัดตั้งส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่เฉพาะอย่างขึ้นมาก และค่อยๆ ยกระดับหน่วยงานเหล่านั้นขึ้นไปถึงกองบัญชาการ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อไว้ทำคดีสำคัญที่มีลักษณะเฉพาะ และเกินกำลังโรงพัก ยิ่งทำให้เป็นตัวแบ่งอัตรากำลังพลจริงที่จะจัดสรรลงโรงพักมากยิ่งขึ้นไปอีก
นอกจากนั้น ยังพบว่ามีข้าราชการตำรวจที่ทำหน้าที่ในฝ่ายอำนวยการต่างๆ ค่อนข้างมาก จนเกิดคำถามว่ามากเกินไปหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหน่วยปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยปฏิบัติในระดับโรงพักที่ขาดแคลนทั้งกำลังพลและงบประมาณ...”
แนวทางที่แก้ไข คือ กำหนดบังคับไว้ในบทเฉพาะกาล 2 ประเด็น
1. กำหนดให้การจัดวางกรอบอัตรากำลังในโรงพักและกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ต้องบรรจุลงให้ครบตามแผนที่มีอยู่ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ร่างฯใหม่นี้ใช้บังคับ ส่วนกรอบอัตรากำลังอื่นๆ ทั้งหมดให้บรรจุให้ครบภายใน 2 ปี
2. ห้ามมิให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งหน่วยงานใหม่ภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ร่างฯใหม่นี้ใช้บังคับ จนกว่าอัตรากำลังของโรงพักและกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจะเพียงพอและครบถ้วน เพื่อให้เกิดความแน่นอนและต่อเนื่องในโครงสร้างและมิให้เกิดหน่วยงานภายในใหม่เกินความจำเป็น
นอกจากนี้ เพื่อให้มีมาตรการสนับสนุนบทเฉพาะกาลดังกล่าวคุณคำนูณเปิดเผยว่า คณะกรรมการได้พิจารณากรณีที่มีข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการหน่วยงานอื่นหรือปฏิบัติหน้าที่อื่นนอกเหนือจากหน้าที่ตำรวจโดยตรง ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเสียกำลังพลจริงไปเป็นจำนวนไม่น้อยในขณะที่ยังต้องแบกรับงบประมาณเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ของนายตำรวจเหล่านั้นอยู่
เห็นควรกำหนดมาตรการเพิ่มไว้ในบทเฉพาะกาลดังนี้
- ห้ามมิให้สั่งการให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถานีตำรวจ และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ไปช่วยราชการยังหน่วยงานใด ยกเว้นแต่จะมีการตั้งอัตรากำลังทดแทน
- กรณีที่มีข้าราชการตำรวจส่วนกลางไปช่วยราชการที่กอ.รมน.ส่วนกลาง(สวนรื่นฤดี) รวมทั้งสิ้น 253 อัตรา พบว่ามีการไปปฏิบัติราชการที่กอ.รมน.ส่วนกลางเพียง 14 อัตราเท่านั้น ที่เหลือยังคงเป็นอัตราฝากอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ไม่มีสายงานที่ชัดเจน งานค่อนข้างน้อย และส่วนใหญ่อยู่ในส่วนอำนวยการหรือธุรการ ที่ประชุมได้เสนอความเห็นไปยังกอ.รมน.ขอให้ทบทวนนโยบายนี้ กำลังพลที่เป็นอัตราพิเศษฝากไว้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรยกเลิกและคืนให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อนำไปบรรจุในสถานีตำรวจและกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดที่ยังขาดแคลนอยู่
- ข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีข้าราชการตำรวจไปติดตามดูแลบุคคลที่เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และบุคคลผู้กว้างขวางหรือผู้มีอิทธิพล อย่างไม่เป็นทางการ จึงเห็นควรกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาผู้ทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ใดไม่มาปฏิบัติงานที่หน่วยเพราะไปปฏิบัติภารกิจนอกเหนือหน้าที่และอำนาจอย่างไม่เป็นทางการดังกล่าวเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน รายงานต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
- ความในย่อหน้าก่อน ไม่รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่อารักขาบุคคลสำคัญต่างๆ ที่มีตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดให้มีการอารักขาหรือบุคคลดังกล่าวดำเนินการขอรับการอารักขามาอย่างเป็นทางการ ตามกฎข้อบังคับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ทั้งนี้ เพื่อให้ได้กำลังพลของตำรวจกลับมาปฏิบัติหน้าที่ที่สถานีตำรวจ 1,482 แห่ง และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยงาน
หลักของภารกิจตำรวจแท้ที่ใกล้ชิดและให้บริการประชาชนโดยตรง
ประเด็นข้างต้น นับว่าน่าสนใจมาก เพราะจะทำให้ได้กำลังพลตำรวจกลับมารับใช้ประชาชน โดยเฉพาะในระดับโรงพัก โดยขออนุญาตแสดงความเห็นสนับสนุนเพิ่มเติม ดังนี้
ที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้ประชาชนเจ็บปวดที่สุด ไม่ใช่กำลังตำรวจที่ไปอารักขาบุคคลสำคัญ แต่เป็นกำลังตำรวจที่ไปอารักขา หรือรับใช้บุคคล
ที่หลบหนีหมายจับของศาล หรือที่มีคดีทุจริตติดตัว
อ้างว่า ไปอารักขาเพื่อดูแลมิให้หนีคดี แต่สุดท้ายก็หนีอย่างลอยนวล
ถึงขนาด เคยทำหน้าที่ตรวจค้นตัวเจ้าหน้าที่ก่อนจะเข้าไปตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาหลบหนีคดีทุจริต เสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนเจ้าของบ้าน
เลยทีเดียว
อ้างว่า ไม่ได้ไปดูแลแล้ว แต่ก็ปรากฏภาพการไปหิ้วถุงเดินตามก้น โดยอ้างว่าลาราชการไป
ขณะที่กำลังพลตำรวจที่จะไปรับใช้ประชาชนตามโรงพักต่างๆ ยังขาดแคลน
ถ้าใครไม่มีใจจะเป็นตำรวจเพื่อรับใช้ประชาชน แต่ฝักใฝ่จะรับใช้คนหนีคดี ก็ไม่ควรให้เป็นตำรวจ กินเงินภาษีแผ่นดิน กินตำแหน่งกำลังพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี