เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา “ที่นี่แนวหน้า” มีโอกาสไปร่วมฟังงานราชดำเนินเสวนา เรื่อง “ทางออกโทษประหาร กับปัญหากระบวนการยุติธรรม” ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งการจัดเวทีเสวนาหนนี้สืบเนื่องจากกรณีการใช้โทษประหารครั้งแรกในรอบ 9 ปีของไทย จนกลายเป็นข้อถกเถียงข้างต้นระหว่างฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายคัดค้าน โดยในวงเสวนามีมุมมองที่น่าสนใจมากมายจากวิทยากรหลายท่าน
อาทิ ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์สาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ตั้งคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ “ตกลงแล้วสังคมไทยต้องการอะไร?” ท่ามกลางสารพัดโพลล์ที่ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบร้อยละร้อยสนับสนุนโทษประหารชีวิต แน่นอนคำตอบคือ “คนผิดต้องได้รับการลงโทษ” ซึ่งมุมมองของญาติผู้สูญเสีย “ชีวิตแลกชีวิต”อาจเห็นว่าคือความยุติธรรม เป็นหนทางให้ได้ปัดเป่าความทุกข์ออกได้บ้าง แต่คำถามคือมันเป็นความเชื่อที่ถูกจริงหรือ?
เช่น เคยมีฆาตกรรายหนึ่งในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า“ผมฆ่าคนมาแล้ว 80 คน คุณประหารผมแล้วยังไงล่ะ?คุณคิดว่ายุติธรรมหรือ? ตกลงชีวิตผมแทนชีวิตนางสาว ก.นางสาว ข. นางสาว ค. ที่ผมฆ่าข่มขืนมาคนไหนหรือ?หรือคุณกำลังจะบอกว่าชีวิตผมสำคัญกว่าคน 80 คน..”เป็นต้น ยังไม่นับถึงข้อกังวล “ความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม” ที่ในสหรัฐอเมริกาหลายมลรัฐยังมีโทษประหารชีวิตอยู่ กลุ่มปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมชูประเด็นนี้เป็นสำคัญ ด้วยเชื่อว่าผู้ต้องขังในเรือนจำร้อยละ 2-5 น่าจะไม่ใช่ผู้กระทำผิดจริง ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยหลายเหตุปัจจัย
ทั้งตำรวจ พยาน อัยการ ทนายจำเลย หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงในสหรัฐยังมีเรื่องของคณะลูกขุน และแม้จะเป็นความจริงที่ว่ากว่าจะไปถึงโทษประหารต้องผ่านขั้นตอนมากมายเพื่อคัดกรอง แต่ปัญหาคือ “เรามักหาหลักฐานมาสนับสนุนความเชื่อของเรา” (Confirmation Bias) ในทางกระบวนการยุติธรรมหมายถึงการตั้งธงไว้ก่อนว่าคนนี้ผิด แล้วมุ่งหาพยานหาหลักฐานมาสนับสนุนธงนั้น จนอาจให้ความสำคัญกับข้อมูลอีกด้านน้อยเกินไป
ซึ่งความผิดพลาดของกระบวนการยุติธรรม ประเทศไทยเองก็ยอมรับว่าเกิดขึ้นได้ ดังที่ พ.ต.อ.วิรุตม์ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ ยกตัวอย่างการมี พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 เปิดช่องให้คดีที่มีคำพิพากษาไปแล้ว หากในอนาคตมีหลักฐานใหม่ก็สามารถรื้อคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ และต้องย้ำกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดว่า “อย่าไปคิดว่าเสียหน้าหรือน่าอาย” การยอมรับความผิดพลาดแล้วแก้ไขให้ถูก ย่อมหมายถึงการปฏิรูประบบงานด้านยุติธรรมให้ดีขึ้น
พ.ต.อ.วิรุตม์ ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ที่นั่นหากอัยการสั่งฟ้อง มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่ศาลจะยกฟ้อง ต่างกับไทยที่มีถึงร้อยละ 40 นี่คือปัญหาคุณภาพของสำนวนคดีหรือไม่? แต่การทำสำนวนคดีให้มีคุณภาพ ปัจจัยหลักก็อยู่ที่ตำรวจ ซึ่ง “ในประเทศไทย จำเลยรวมถึงพยานจำนวนไม่น้อยมักขอไม่ให้การในชั้นพนักงานสอบสวน แต่ขอไปให้การในชั้นศาลแทน”ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการสอบสวนของตำรวจมีปัญหาหรือเปล่า? ถึงไม่ได้รับความไว้วางใจ
เช่นเดียวกับ “กระบวนการขอลดโทษ” ที่ถูกสังคมตั้งข้อสังเกตว่า “ปล่อยตัวออกจากคุกเร็วเกินไปทั้งที่ก่อคดีร้ายแรงสะเทือนขวัญ” ซึ่งก็นำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ากฎหมายไทยหย่อนยาน และเมื่อบ่นกันมากๆ ก็สิ้นหวังถึงขั้นเรียกร้องให้ใช้โทษประหารชีวิต
จริงๆ เสียที เรื่องนี้ต้องไปดูขั้นตอนการขอลดโทษว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ เช่น ผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แม้จะมีช่องทางขอลดโทษ แต่กว่าจะออกจากเรือนจำได้กาลเวลาก็น่าจะทำให้ไม่สามารถไปทำอันตรายกับใครได้อีกแล้วเพราะอายุมากขึ้น
แต่อีกมุมหนึ่ง พ.ต.อ.วิรุตม์ ก็กล่าวด้วยว่า “อาชญากรรมส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่รัฐสามารถควบคุมและป้องกันได้ และเป็นความรับผิดชอบของรัฐด้วย” เช่น กรณีป้าใช้ขวานทุบรถ ต้นเหตุมาจากการปล่อยให้มีตลาดผิดกฎหมายเกิดขึ้นล้อมบ้าน และไม่แน่ว่าหากวันนั้นมีการโต้เถียงระหว่างป้ามือขวานกับคนที่จอดรถขวางหน้าบ้านป้าเพื่อซื้อของในตลาด บทสรุปของเรื่องอาจรุนแรงกว่าเพียงการทุบรถก็เป็นได้ ลักษณะนี้คือรัฐปล่อยให้คนถูกรังแก รัฐไม่เป็นธุระทางกฎหมายให้ แต่ละคนก็อาจไปแก้แค้นเอาคืนกันเองเมื่อถึงจุดที่ทนไม่ได้อีกต่อไป
หรือเรื่องคนลักเล็กขโมยน้อยเพราะไม่มีงานทำ ก็ต้องตั้งคำถามว่ารัฐบริหารเศรษฐกิจอย่างไร? หรืออุบัติเหตุบนท้องถนนที่พูดกันมากๆ ว่าสาเหตุสำคัญมาจากดื่มเครื่องดื่มมึนเมาแล้วขับรถ รัฐได้ทำอะไรบ้างเพื่อไม่ให้คนเมามาขับรถ? รวมทั้งกรณีอดีตผู้ต้องโทษแล้วทำผิดซ้ำเพราะไม่มีงานทำ เหตุใดรัฐที่พยายามขอร้องภาคเอกชนว่าควรให้โอกาส แต่รัฐกลับไม่ทำตนเป็นแบบอย่างก่อน? เพราะเป็นภาครัฐเองที่ไปเขียนระเบียบว่าไม่รับคนเคยต้องโทษเข้าทำงาน และไม่เคยมีการลบประวัติอาชญากรรม แม้จะพ้นโทษมานานเท่าใดก็ตาม เป็นต้น
สอดคล้องกับทนายความชื่อดัง อนันต์ชัยไชยเดช ที่มุมหนึ่งอยากฝากคำถามถึงกรมราชทัณฑ์ถึงกระบวนการลดโทษ เช่น ศาลพิพากษาจำคุก 10 ปี แต่บางรายติดคุกจริงเพียง 1-2 ปี ลักษณะนี้ผู้คนก็จะไม่เกรงกลัว “เชื่อว่าติดคุกไม่นานเดี๋ยวก็ได้ออก” ทำให้ระบบกฎหมายไม่เข้มแข็ง แต่อีกมุมหนึ่ง “ความเหลื่อมล้ำ”ก็เป็นสาเหตุเช่นกัน เช่น กระบวนการยุติธรรมที่ยังมีความหลายมาตรฐาน “มีเงินมีเส้นก็แบบหนึ่ง” รวมถึงยังไม่มีสวัสดิการสังคมต่างๆ อย่างประเทศที่เจริญแล้ว อาชญากรรมจึงดำรงอยู่ และกระแสสังคมก็ยังคงไม่มั่นใจหากจะยกเลิกโทษประหารชีวิต
อีกด้านหนึ่ง รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร นักวิชาการด้านอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล พาชวนคิดย้อนไปยังภูมิหลังของคนคนหนึ่ง ที่กว่าจะมาทำผิดกฎหมายได้ต้องผ่านอะไรมาพอสมควร เช่น เมื่อยังเด็กอาจถูกกระทำหรือเป็นผู้พบเห็นความรุนแรงตั้งแต่ในครอบครัว การถูกรังแกในโรงเรียน การไม่เป็นที่ยอมรับจึงแสวงหาการยอมรับโดยได้รับข้อมูลแบบผิดๆ หรือแม้แต่การเห็นบางตัวอย่างจากผู้ใหญ่ อาทิ มีครั้งหนึ่งเคยเก็บข้อมูลจากเด็กๆ วัย 10-11 ขวบ แล้วพบหลายคนบอกว่า “ชอบเครื่องแบบตำรวจเพราะดูมีอำนาจ” ซึ่งคำตอบนี้สะท้อนอะไรบ้างหรือไม่?
บทสรุปของเวทีเสวนาหนนี้ แม้จะไม่ฟันธงสนับสนุนหรือคัดค้านโทษประหาร แต่ดูเหมือนจะเห็นตรงกันว่า “กระแสโลกกำลังเดินไปสู่การยกเลิกโทษประหาร” เฉกเช่นกับก่อนหน้านี้ที่ไทยเปลี่ยนวิธีประหารชีวิตแบบสยดสยองต่างๆ มาเป็นการตัดศีรษะ เปลี่ยนจากตัดศีรษะเป็นยิงเป้า และเปลี่ยนจากยิงเป้าเป็นฉีดยาพิษตามลำดับ ทั้งหมดล้วนเป็นผลมาจากหลักคิดสากลที่กำหนดคุณลักษณะของชาติที่เป็นอารยะ และไทยก็ต้องทำตาม ดังนั้นวันนี้อาจต้องคิดได้แล้วว่าถ้าหากไม่มีโทษประหาร สังคมไทยจะต้องปรับปรุงอะไรบ้าง ซึ่งคงมากกว่าด้านกระบวนการยุติธรรม
จึงขอจบด้วยข้อคิดจาก สมชาย หอมลออ อดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ซึ่งร่วมแสดงความเห็นในช่วงท้ายว่า รากเหง้าของปัญหาอาชญากรรมมีหลายสาเหตุ เช่น ความเหลื่อมล้ำในสังคมการไม่มีมาตรการควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวด รวมถึงสถาบันครอบครัวที่ล้มเหลว บ้านแตกบ้างมีความรุนแรงบ้าง ที่รัฐยังไม่ลงทุนแก้ไขให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ และที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะสังคมยังขาดความเข้าใจ หรือก็คือ
“การที่สังคมยังมีแนวคิดเรื่องแก้แค้นทดแทน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ละเลยการแก้ปัญหาที่ต้นตอ” !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี