มาตรการด้านการเงินการคลังต่างๆ นานาที่รัฐบาลทุกชุดพยายามเข็นออกมาช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นเรื่องดี เพราะการช่วยเหลือให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถดำรงชีพอยู่ได้ ถือเป็นการลดปัญหาสังคมอย่างหนึ่ง แต่ข้อสำคัญที่จะต้องระมัดระวังให้มากก็คือ รัฐบาลจะต้องไม่ทำให้ผู้คนบางกลุ่มรู้สึกว่า เขาไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขวนขวายในการประกอบอาชีพสุจริต เพราะในที่สุดแล้วรัฐบาลก็จะหว่านเงินให้พวกเขาได้กินได้ใช้ตลอดเวลา แล้วถ้าหากมีคนบางกลุ่มในสังคมไทยคิดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่านี่คือการละเลงและละลายเงินงบประมาณแผ่นดินไปโดยเปล่าประโยชน์
ล่าสุดมีแนวคิดจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ระบุว่า กระทรวงจะเสนอให้รัฐบาลคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ไปลงทะเบียนของรับสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 11 ล้าน 4 แสนคน เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถมีเงินกลับไปใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ โดยผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับ VAT คืนจะต้องนำเงินที่ได้ไปซื้อสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการของรัฐ โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะคืนให้นั้น จะคิดคำนวณจากการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข เช่น สุรา เบียร์ บุหรี่ จะไม่ได้รับเงินภาษีมูลค่าเพิ่มคืน
แน่นอนว่า เมื่อประชาชนมีรายได้กลับคืนมา ก็จะต้องนำเงินที่ได้กลับไปจับจ่ายใช้สอยในระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปรียบเทียบว่าการคืน VAT ให้กับผู้มีรายได้น้อยก็ไม่แตกต่างไปจากมาตรการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในหมู่ประชาชนทั่วไปด้วยการลดภาษีให้กับผู้ซื้อสินค้า หรือที่เรียกทั่วไปว่า นโยบายช็อปช่วยชาติ ที่เคยกระทำมาแล้ว แต่สำหรับปีนี้รัฐบาลจะไม่ทำนโยบายช็อปช่วยชาติอีก
มีคำถามตามมาว่าเมื่อคืน VAT ให้กับผู้มีรายได้น้อยแล้ว จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศหรือไม่ หรือพูดให้ตรงประเด็นก็คือจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของประเทศหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้รัฐมนนตรีกระทรวงการคลังบอกว่าไม่กระทบ เพราะรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยส่วนนี้กลับคืน ซึ่งก็ถือได้ว่านี้คือการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยโดยรัฐบาล สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่จะได้ VAT คืนจะต้องยื่นของคืนภาษีนี้กับกรมสรรพากรในช่วงสิ้นปี ส่วนคำถามที่ว่าจะมีความยุ่งยากกับการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ กรมสรรพากรยืนยันว่าไม่ยุ่งยาก แต่ในขณะเดียวกันก็จะช่วยทำให้รัฐบาลทราบได้ชัดเจนว่ามีประชาชนผู้มีรายได้น้อยจำนวนเท่าไรที่อยู่ในระบบภาษี
ในขณะที่ภาครัฐมีแนวคิดจะคืนภาษี VAT ให้ผู้มีรายได้น้อย แต่ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดจะเก็บภาษีเพิ่มจากผู้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของรัฐ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ภาษีลาภลอย เพราะเมื่อมีการพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งแล้ว จะส่งผลให้ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเขตที่มีการพัฒนามีราคาเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จึงสมควรจะเก็บภาษีลาภลอยจากผู้ได้รับประโยชน์จากการนี้ แต่จะเก็บภาษีเพิ่มจากผู้ที่ห้องชุดราคาเกิน 50 ล้านบาทเท่านั้น โดยจัดเก็บไม่เกินร้อยละ 5 ของฐานภาษีหรือจากส่วนต่างของมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น
เรื่องที่เขียนในวันนี้อาจจะดูเข้าใจยาก และไม่มีความเร้าใจของภาษา แต่ผู้เขียนยืนยันว่าเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นของสังคม จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง และขอสนับสนุนนโยบายที่สร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมเช่นนี้ เพราะคนในสังคมจำเป็นต้องช่วยเหลือเกื้อกูลและแบ่งปันกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี