ต่อเนื่องกับบทความซีรี่ส์ตอนที่ 2 “ย้อนอดีตวิกฤติต้มยำกุ้งกับบรรยง พงษ์พานิช” ทางคอลัมน์การเมืองเรื่องเงินๆ แนวหน้าตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ นำมาเผยแพร่เพื่อตีแผ่เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมา 21 ปีก่อน จากประสบการณ์การทำงาน และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ จากบุคลากรคนสำคัญของประเทศไทยที่อยู่ในแวดวงนี้และยังคงคร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้อย่างต่อเนื่อง
บทความครั้งก่อนจบที่การบิดเบือนกลไกตลาดโดยเฉพาะทางการเงิน เมื่อครั้งที่คุณบรรยงได้เล่าเรื่องนี้ไว้เป็นช่วงที่มีความปั่นป่วนกับเรื่องนโยบายจำนำข้าว คุณบรรยงได้กล่าวไว้ว่า… ได้แต่หวังว่าการบิดเบือนตลาดข้าวครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้จะไม่ก่อปัญหาวิกฤติร้ายแรงใดๆ แต่สุดท้ายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลก็คือการบิดเบือนกลไกตลาดข้าว แถมยังมีการโกงมโหฬารจนคนออกนโยบายต้องระเห็ดไปต่างประเทศ
กลับมาที่เรื่อง “ต้มยำกุ้ง” กันต่อกับคุณบรรยงครับ…
กระบวนการแก้ไข และผลภายหลังของวิกฤติส่วนใหญ่เป็นที่รับรู้ และมีการวิเคราะห์วิจัย หาอ่านได้เยอะแยะทั่วไปที่จะเล่าจะเป็นส่วนที่ผมเกี่ยวข้อง ได้รู้ได้เห็น (บางเรื่องเป็น inside) คนอื่นไม่ค่อยได้เน้น และในมุมมองของผมเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะพาดพิงถึงใครโดยไม่เหมาะสมบ้างก็ขอกราบขออภัย
ตอนที่แล้วเล่าถึงสาเหตุ ความผิดพลาดที่คนครึ่งโลก รวมทั้งคนไทยครึ่งประเทศมีส่วนร่วม ทำให้เกิดวิกฤติ จนถึง 2 ก.ค.2540 และผมยกให้ Exchange Rate Policy เป็นสาเหตุสำคัญที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายที่มีจุดประสงค์ที่ดี ทำให้เกิดผลดีในระยะหนึ่ง แต่นานไปก็ก่อให้เกิดการบิดเบือน ในภาคส่วนต่างๆ
มีหลายท่านพยายามอธิบายว่า เป็นแผนการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ ที่พวกต่างชาติทั้งโลกที่ร่วมกันวางแผน เอาเงินมาหลอกให้เรากู้ เอาเข้ามาแกล้งซื้อหุ้น แล้วขยิบตาพร้อมกันกระชากออก เสร็จแล้วก็ส่ง IMF เข้ามาทำทีเป็นช่วย แต่กลับบังคับให้เลวลงอีก ออกกฎหมายขายชาติ แล้วพวกมันก็เข้ามากวาดซื้อของดีๆ ในราคาถูกๆ
ฟังดูเสมือนพวกต่างชาติมีคนเดียว แก๊งเดียว Godfather คนเดียวสั่งได้หมด ทั้ง Bank ทั้งอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย กว่าร้อยแห่ง ประชุมร่วมวางแผนอย่างพร้อมเพรียง ร่วมกับกองทุนหุ้นอีกหลายร้อย แถมปฏิบัติการกว้างขวาง ในไทย เกาหลี มาเลย์ อินโด ฟิลิปปินส์ ฯลฯ คุณบรรยง ได้สรุปว่า ทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) อย่างนี้ ไม่มีทางเป็นจริงได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ในความเป็นจริงพวกนายแบงก์ นักลงทุน ทั่วโลกเสียหายรวมกันกว่าล้านล้านเหรียญ hedgefund, distressed fund (ซึ่งเป็นคนละพวก) ที่ตามมาถ้าได้กำไร ก็เป็นแค่หลักพัน หลักหมื่น นายแบงก์ fund manager ตกงานกันเป็นแถว
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ภาวะตื่นตระหนกเกิดขึ้นทั่วทั้งระบบ ค่าเงินลดฮวบ ต่ำกว่า 35 บาทต่อเหรียญ ใน 1 เดือน และมีทีท่าไหลลงต่อเนื่อง คนเริ่มถอนเงินฝาก โดยเฉพาะจากสถาบันการเงินขนาดเล็ก การค้าการเงินชะงักงันไปทั่ว
วันอังคารที่ 5 ส.ค. 2540 ครม.มีมติให้รัฐเข้าคุ้มครองรับประกันเงินฝากในสถาบันการเงินทุกแห่ง ตรงนี้มีเกร็ดเล่านิดหนึ่ง วันศุกร์ก่อนหน้าท่านนายกฯ บิ๊กจิ๋ว ให้สัมภาษณ์ว่า จะประกันเงินฝาก คุณบรรยงกับดร.ศุภวุฒิ เลยขอเข้าพบดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าฯธปท.ที่เพิ่งเข้ามาแทนคุณเริงชัย มะระกานนท์ ที่ถูกบีบให้ลาออกไป เพื่อวิเคราะห์ให้ท่านเห็นถึงต้นทุนของรัฐ ถ้าค้ำประกันเงินฝากทั้งระบบ โดยคำนวณให้ท่านดูว่าถ้า NPL ทั้งระบบ ขึ้นไปถึง 35 % ความเสียหายที่รัฐต้องรับ จะประมาณ 700,000 ล้านบาท และสถาบันการเงินทุกแห่งต้องตกเป็นของรัฐ เพราะเจ๊งเรียบ (ในความเป็นจริง เราคาดผิดครับ เพราะ NPL ปาเข้าไป 45% ความเสียหายเลยเป็น 1.4 ล้านๆ ที่ยังเหลืออยู่ในกองทุนฟื้นฟูวันนี้ถึง 1.1 ล้านๆ ไม่รวมดอกเบี้ย 16 ปี ที่รัฐช่วยจ่ายไงครับ ส่วนสถาบันการเงินที่ไม่เจ๊งหมดต้องยกให้เป็นความฉลาดของรัฐ ธปท. IMF บวกกับความเฮงอีกนิดหน่อย ...ถ้าไม่กลัวยาวเกิน จะเล่าให้ฟังครับ)
ท่านผู้ว่าฯ ธปท.ฟังแล้วถึงกับอึ้งไป แล้วบอกสั้นๆ ว่า สงสัยต้องว่าไปก่อน แล้วค่อยไปแก้ปัญหาเอา วันรุ่งขึ้นก็มีมติครม.ดังกล่าว ความจริงมามองย้อนหลังผมก็เห็นด้วยว่าต้องค้ำ เพราะไม่อย่างนั้นสถานการณ์จะโกลาหลเอาไม่อยู่ และถ้าเริ่มมี deposit fligth ออกจากประเทศ ต้องไปตามพ่อ IMF มาด้วย เหมือนกรีซแหละครับ แล้วเราก็เห็นว่าประเทศพัฒนาแล้วทุกแห่งก็ทำเหมือนกันตอนเกิดวิกฤติโลกปี 2008
ในวันเดียวกัน 5 ส.ค. 2540 มีการระงับการดำเนินการของบริษัทเงินทุนอีก 42 แห่ง รวมของเดิมเป็น 58 แห่ง แล้วรัฐบาลไทยก็ตกลงเข้ารับการช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยลงนามใน Letter of Intent (LOI) ฉบับที่ 1 เมื่อ 14 ส.ค. 2540 เพื่อรับวงเงินช่วยเหลือ 17.2 พันล้านเหรียญ ซึ่งคุณบรรยงกล่าวไว้ว่า ในกรณนี้ คุณบรรยงขอยืนยันว่า IMF เป็นเสมือนอัศวิน เป็นพระเอกตัวจริงคนหนึ่ง ที่มาช่วยให้ไทยตั้งหลักเดินหน้าได้อีก ไม่ได้เป็นผู้ร้ายชาติชั่วเหมือนบางคนป้ายสี ถึงแม้บางครั้งพระเอกอาจพลั้งเผลอ ซุ่มซ่าม ขัดขา หรือเอาศอกกระทุ้งหน้านางเอกอย่างไม่ตั้งใจบ้าง แต่โดยรวม ถ้าไม่มี IMF นางเอกยับเยินกว่านี้แน่นอน
ดูเหมือนสถานการณ์ก็ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่ แถมประเทศอื่นๆ ก็เป็นโรคลุกลามไปทั่วเราเลยยิ่งทรุด เพราะกลัวว่า ถ้า 17.2 ไม่พอ คุณพี่ IMF คงไม่เหลือกำลังเพิ่มให้เท่าไหร่ คนก็เลยไม่เชื่อ
ต่อมา 22 ต.ค. 2540 มีการออก พ.ร.ก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน เพื่อจัดการกับบริษัทการเงิน 58 แห่ง ที่ถูกพักการดำเนินการ จากนั้นดร.ทนง พิทยะ รมต.คลังลาออก ต่อมา 24 ต.ค. ปรับครม. ดึงดร.โกร่ง (วีรพงษ์ รามางกูร) เป็น รองนายกฯ
เรื่อยมา 6 พ.ย. 2540 โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ท่ามกลางความงงงวยของทุกฝ่าย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากการเป็นนายกฯ ตรงนี้มีเกร็ดนิดหนึ่ง ก่อนหน้านั้น วันอาทิตย์ที่ 19 ต.ค. มีผู้ใหญ่ตามผม (คุณบรรยง) กับ อ.เปี๋ยม ไปพบบิ๊กจิ๋วที่ทำเนียบตอน 7 โมงเช้า เพื่อสรุปสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยมี รมต.เสนาะ รมต.โภคิน ม.ร.ว.ปรีดิยาธรร่วมอยู่ด้วย ผมจำได้ว่าท่านถึงกับอึ้ง แถมมาตรการต่างๆก็เป็นเรื่อง “กัดลูกปืน” (bite the bullets)อย่างรุนแรงขนาดเลือดกลบปากทั้งนั้น ผมยังจำได้ว่า ป๋าเสนาะ ซึ่งนั่งตรวจรายชื่อโยกย้ายของมหาดไทย เป็นส่วนใหญ่ ถึงกับเงยหน้ามาพูดว่า “อย่างนี้มันก็ชิบหายจริงๆ สิ ไม่ใช่ไอ้ฝ่ายค้านสร้างเรื่อง” หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ ท่านก็ลาออก ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นคุณูปการยิ่งใหญ่อันดับสอง ที่ท่านทำให้กับประเทศไทย (อันดับ 1 คือ นโยบาย 66/2523 ที่ทำให้ยุติสงครามก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในประเทศ)
ระหว่างที่น้าชาติ อดีตนายกฯ ชาติชาย เตรียมตัวกลับมาเป็นนายกฯอีกที ก็เกิดกรณีงูเห่า (ฝีมือเสธฯ.หนั่น) ทำให้คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ เมื่อ 14 พ.ย. 2540 มีคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรมต.คลัง คุณบรรยง เสริมตรงนี้ว่า พระเอกของผมโผล่เข้าฉากอีก 2 คน
ต่อมา 8 ธ.ค. 2540 คณะกรรมการปรส. มีมติให้ปิดถาวร สถาบันการเงิน 56 แห่ง ให้เปิดดำเนินการต่อได้เพียง 2 แห่ง คือ บางกอกอินเวสเม้นท์ ที่ยักษ์ใหญ่ AIA เข้าอุ้ม กับ บงล.เกียรตินาคิน ที่เสนอแผนดีเสียจนปฏิเสธไม่ได้ นัยว่าเป็นไปตามคำแนะนำของ IMF ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันจนปัจจุบันว่าถูกต้องหรือเปล่า ในความเห็นผมพบว่าในภายหลัง NPL ของบง.เหล่านี้ สูงถึงกว่า 70% และแม้สถาบันการเงินอื่นที่ไม่ได้ถูกปิดตอนนั้น เช่น ธนาคารหลายแห่ง ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ต้องให้รัฐเข้ายึด รวมทั้ง บงล.ภัทรธนกิจ ที่ผมย้ายไปเป็น CEO ก็ยังต้องปิดตัวเองลงในปี 2542 ดังนั้นเรื่องปิดสถาบันการเงินนี้ ผมมั่นใจว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
สถานการณ์เริ่มเข้าสู่เสถียรภาพ แต่ค่าเงินยังไหลลงเรื่อยๆ จนต่ำสุดที่ 55.3 บาทต่อเหรียญ ช่วงต้นปี’41 ก่อนจะเริ่มปรับเข้าสูดุลยภาพที่ประมาณ 40 บาทต่อเหรียญ ช่วงพ.ค.และอยู่แถวนั้นอีกหลายปี
ต่อมา พ.ค. 2540 หม่อมเต่า (ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล) พระเอกคนที่ 4 ของผม ก็ข้ามห้วยจากคลัง มานั่งผู้ว่าฯธปท. ผมว่าท่านได้ทำประโยชน์ใหญ่ๆ ในเรื่องนี้ 3 อย่าง คือ กู้ศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของธปท.กลับมา ร่วมกับคุณธารินทร์ทำให้สถาบันการเงินมีเสถียรภาพขึ้นไม่ต้องถูกยึดให้เป็นของรัฐทั้งหมด และได้นำระบบ Inflation Targetting มาใช้เป็นแกนของนโยบายการเงินจนทุกวันนี้
จบ “ย้อนอดีตวิกฤติต้มยำกุ้ง กับบรรยง พงษ์พานิช ตอนที่ (2) แต่เพียงเท่านี้ ต่อตอนที่ 3 กันใหม่สัปดาห์หน้าครับ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี