การอดทนรอคอยในเรื่องที่เหมาะสมถือเป็นคุณสมบัติของผู้มีความอดทน แสดงถึงความมีวินัยของตัวเอง และแสดงถึงความสามารถควบคุมอารมณ์ของตน คนที่รู้จักรอ ยับยั้งชั่งใจได้ คือ
ผู้ที่ทำงานแล้วมักประสบความสำเร็จ ส่วนคนใจร้อน ใจเร็ว ด่วนได้ รอไม่ได้ หรือต้องการจะได้อะไรโดยรวดเร็ว หรือต้องให้ตนเป็นที่หนึ่งตลอด ในหลายต่อหลายครั้ง จะพบว่าคนชนิดหลังนี้จะพบกับความผิดพลาดเป็นประจำ และพบกับความล้มเหลวในการดำรงชีวิต เพราะขาดความระมัดระวัง และขาดการยับยั้งชั่งใจ
เหตุที่ยกเอาประเด็นนี้ขึ้นมาอารัมภบท ก็เพราะผมมีความเห็นจากข้อเท็จจริงเรื่องการรายงานข่าวของสื่อมวลชนที่ไปติดตามทำข่าวทีมหมูป่าอะคาเดมีซึ่งติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน แม่สาย เชียงราย แม้จะมีผู้คนออกมาปกป้องคนในวงการสื่อฯ ค่อนข้างมาก แต่ในขณะเดียวกันนั้น ผมก็เห็นกระแสการด่าทอแสดงความเกลียดชัง และตำหนิบริภาทสื่อฯ อยู่ไม่น้อย
โดยส่วนตัว ผมพยายามเข้าใจและเป็นมิตรกับสื่อฯ ให้มากที่สุด เพราะถือว่าเป็นเรื่องของน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า แต่ทว่าผมก็ประสบกับความผิดหวังจากการรอไม่ได้ของสื่อฯ บางจำพวก จนทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมาหลายครั้ง ผมจะเล่าให้ฟังว่าความผิดหวังเกิดขึ้นในฐานะที่ผมเป็นผู้เสพข่าวสารต่างๆ นานา จากสื่อฯ ผมมักให้ความเชื่อมั่นกับสื่อฯ หลักมากกว่าสื่อฯ โคมลอย โดยเฉพาะสื่อฯ ไร้ตัวตนที่มักปล่อยข่าวผ่านระบบ social media เป็นประจำ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังเกิดความผิดหวังจากการทำหน้าที่ซึ่งไร้ความรับผิดชอบต่อผู้ที่ตกเป็นข่าว และต่อสังคมของสื่อฯ ประเภทไร้จรรยาบรรณ ไม่รู้จักกาลเทศะ และไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้ตกเป็นข่าว และไม่เชื่อฟังกฎระเบียบที่สมควรจะต้องปฏิบัติตาม ทั้งนี้ ผมไม่ได้หมายความว่าสื่อฯ ต้องทำตัวเป็นแมวเชื่องๆ ของรัฐบาลนะครับ แต่ผมหมายความว่าสื่อฯ ต้องรู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควรหรือไม่ในการปฏิบัติงานในระหว่างเกิดเหตุไม่ปกติของสังคม และบอกตรงๆ ว่าผมรังเกียจมากที่สื่อฯ บางกลุ่มมีสันดานชอบล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยเฉพาะคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีทางต่อสู่กับสื่อฯ
ผมสังเกตแล้วพบว่าหลายต่อหลายครั้ง ผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ รวมถึงวิทยุหลายรายพยายามส่งเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนน่าสมเพช เพื่อสร้างกระแสเร้าใจให้ผู้ชม เพื่อหวังดึงให้ผู้เสพ
รายการดูรายการตนต่อไป ผมมองว่าคนพรรค์อย่างนี้สร้างปมเด่นให้กับตนเอง แล้วก็สงสัยว่าผู้บริหารช่องข่าวเหล่านั้นบอกให้ผู้ประกาศแสดงอาการน่ารังเกียจนั้นหรือไม่ แต่ถ้าหากไม่เห็นด้วย ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับรายการก็ต้องสั่งห้ามมิให้ผู้ประกาศแสดงน้ำเสียงและกิริยาเช่นนั้น ในทางการแพทย์วิเคราะห์ว่าผู้ที่แสดงอากัปกิริยาเช่นนั้นอาจจะแฝงไว้ด้วยการอยากได้รับความชื่นชมจากสังคมเพื่อให้ตัวเองเด่นดังขึ้นมา จึงต้องสร้างบุคลิกประหลาดขึ้นมา แต่การแสดงออกของผู้ประกาศบางคนบ่งบอกถึงบุคลิกภาพแท้จริงของคนๆ นั้น เช่น โผงผาง โวยวาย ใจร้อน ปากร้าย ปากไม่ดี ชอบแส่ ชอบสาระแนเรื่องชาวบ้าน ชอบแขวะ ชอบกัด เป็นต้น ลักษณะน่ารังเกียจดังกล่าวไม่ควรถูกเผยแพร่ในจอโทรทัศน์ เพราะมันคือการประจานความน่ารังเกียจของตัวเองต่อสาธารณชน หรือว่าผู้แสดงอาการเช่นนั้นอาจลืมไปว่า ปัจจุบันผู้เสพสื่อจำนวนไม่น้อยพัฒนาสมอง พัฒนาความคิด และมีการศึกษามากขึ้น ดังนั้น จึงขอความกรุณาให้ผู้มีอำนาจในการดูแลรายการโปรดอย่าปล่อยให้ผู้ประกาศหรือพิธีกรที่มีลักษณะด้อยดังกล่าวปรากฏตัวบนหน้าจออีก แต่ถ้าหากมั่นใจว่าคนดูบางกลุ่มชอบลักษณะประหลาดดังกล่าวของผู้ประกาศหรือพิธีกร ก็ขอให้นำเสนอเฉพาะกลุ่ม โปรดอย่านำเสนอต่อสาธารณชน
มีเรื่องน่าสมเพชอีกประการหนึ่งที่ผมเห็นเป็นประจำคือ เป็นผู้ประกาศข่าวหรือพิธีกรนั่งอยู่ในห้องส่ง โดยไม่ได้อยู่ในพื้นที่จริง แต่พยายามพูดพล่ามไปตามระดับสติปัญญา โดยดูภาพจากจอมอนิเตอร์แล้วมโนเพ้อพกไปเรื่อย พูดผิดๆ ถูกๆ พอพูดผิดก็แก้ตัว พอแก้ใหม่แล้วผิดอีก วนไปวนมา ด้วยความน้ำเสียงและกิริยาที่ดูเสมือนไม่ได้ถูกกลั่นกรองจากมันสมอง พูดพล่ามไปพอสักพักก็บอกว่า เดี๋ยวขอเช็คข้อมูลอีกทีหนึ่ง พูดกลับไปกลับมาราวกับคนสับปลับตลบตะแลง ขาดความน่าเชื่อถือ แสดงถึงความไม่เคารพผู้ชม ผู้ประกาศบางรายน่าสมเพชยิ่งกว่า คือเมื่อดูจอมอนิเตอร์แล้วมองไม่เห็นภาพหรือข้อมูล ก็หันไปคว้าสมาร์ทโฟนขึ้นมาอ่าน อ่านผิดๆ ถูกๆ ก็ยังฝืนอ่านไป จึงมีคำถามว่า หากไม่รู้จริง ก็ไม่ควรตะบี้ตะบันพูดต่อไป ทำไมไม่เชิญคนที่เขารู้จริงมาให้ข้อมูล หรือเกรงว่าคนรู้จริงจะได้รับความสนใจจากผู้ชมมากกว่าตัวเอง บางรายน่าสมเพชมาก เพราะเอาข้อมูลจากเฟซบุ๊คที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจนไปพูดเป็นข่าว
ลักษณะด้อยแบบที่กล่าวในข้างต้นนี้คืออาการทุรนทุรายของพวกที่รอไม่ได้ แพ้ไม่ได้ แต่ความจริงมันแสดงถึงความอ่อนแอในจิตใจ และบ่งบอกความไร้วุฒิภาวะ ไร้สามัญสำนึก และแสดงถึงความโง่เขลาเบาปัญญา
ตั้งแต่เสพรายการทีวีมา ผมไม่เคยเห็นว่าผู้ประกาศข่าวหรือพิธีกรคนไหนจะกล้าปฏิเสธการนำเสนอภาพข่าวที่เต็มไปด้วยความรุนแรง และไร้สาระ หรือภาพที่ไม่สมควรนำออกสู่สาธารณะ โดยเฉพาะภาพที่เต็มไปด้วยความรุนแรงไล่ตีไล่ฆ่าไล่ฟันกัน หรือแม้กระทั่งภาพที่ทีมงานหรือนักข่าวภาคสนามไปสอดส่ายสายตาสอดแทรกฝ่าฝืนกฎระเบียบแล้วนำภาพไปออกอากาศ ผมไม่ทราบว่าผู้กระกาศข่าวมีสิทธิ์จะบอกว่าขอไม่นำเสนอภาพข่าวที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ หรือว่าผู้ประกาศข่าวส่วนมากเป็นได้แค่เพียงคนอ่านข่าวหรือคนเล่าข่าวประเภทหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมมาแล้ว แต่ถ้าผมเป็นผู้ประกาศข่าวที่มีภาพเหล่านั้น ผมจะบอกว่าผมขอไม่บรรยายภาพเหล่านั้น ขอให้ทีมงานตัดออกไป ขอบอกว่าเรื่องไม่เหมาะสมเหล่านี้ เกิดขึ้นบนหน้าจอทีวี และหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์บางชนิดเป็นประจำ ครั้นเมื่อปล่อยให้เกิดความผิดพลาดแล้ว คนข่าวจำพวกหนึ่งก็ออกมาประกาศขอโทษ ผมถามว่าจะขอโทษในความผิดเดิมๆ ที่ทำผิดซ้ำๆ ด้วยเหตุผลอะไรมิทราบ นิสัยแบบนี้ไม่ต่างจากนักการเมืองที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็ออกมาแก้ตัวว่า “ขอถอนคำพูด” แต่คุณลืมไปว่า ความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว จากการกระทำของคุณ
อีกประเด็นหนึ่งที่เจอบ่อยๆ คือการตั้งคำถามที่บ่งบอกว่าไร้สติไร้ปัญญา เช่น ลูกไปเข้าฝันหรือเปล่า รู้สึกอย่างไรบ้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คำถามจำพวกนี้ไม่มีความจำเป็นต้องถามแม้แต่น้อย เพราะความรู้สึกในการสูญเสีย ความเครียด ความเศร้า ความเสียใจเป็นความรู้สึกสากล ไม่จำเป็นต้องถามโดยตรงกับผู้ประสบเหตุ เพราะความรู้สึกเช่นนี้ทุกคนสามารถคิดและเข้าใจได้ด้วยตัวเอง หรืออยู่ๆ ก็จู่โจมไปถามพ่อแม่พี่น้องและญาติของผู้ประสบเหตุร้ายว่า คิดว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป จะแก้ปัญหาอย่างไร ทั้งๆ ที่ผู้ถูกสัมภาษณ์เพิ่งประสบเหตุร้าย ยังคิดอะไรไม่ออก หรือกำลังอยู่ในสภาวะโศกเศร้าเกินกว่าจะตอบคำถามไร้สาระเหล่านั้น แต่ที่น่าสมเพชไม่แพ้กันก็คือ การถามด้วยคำถามที่ไม่ช่วยประคับประคองจิตใจ แถมบางรายยังแสดงละครผสมไปด้วย เช่น สัมภาษณ์ไปร้องไห้ไป หรือพยายามใช้น้ำเสียงและอาการเศร้าแบบจงใจเรียกน้ำตาของผู้ชม ซึ่งถือได้ว่าน่ารังเกียจจนเกินจะให้อภัย
เมื่อวิจารณ์เรื่องราวในห้องส่งแล้ว ก็ขอพูดถึงนักข่าวภาคสนามบ้าง ที่พบบ่อยๆ คือประเภทแย่งชิงข่าวอย่างไร้รสนิยม เพราะมักจะละเมิดสิทธิ์ผู้ตกเป็นข่าวมากกว่า บางรายแสดงอาการกร่างไม่สนใจคำสั่งห้ามของเจ้าหน้าที่ บางรายยืนหรือนั่งรายงานข่าวหน้าเวทีแถลงข่าวหลักโดยไม่สนใจว่าเหมาะสมหรือไม่ บางประเภทก็ดราม่าสุดๆ เช่น เดินลุยน้ำลุยโคลน แต่ยังไม่เคยเห็นลุยไฟ ก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แต่คนที่ทำก็คงนึกเอาเองว่าตัวเองเป็นตัวละครเอกไปด้วย คงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้รายงานข่าว อันที่จริงประชาชนที่มีปัญญาเขาไม่ได้เห็นว่าผู้รายงานข่าวเป็นดารา เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำเกินบทบาทเกินหน้าที่ ไม่ต้องพยายามตีบทหรือวางท่าทางแข่งกับแหล่งข่าว เพราะคนดูต้องการได้สาระจากข่าว ไม่ต้องการดูบทบาทการแสดงของผู้รายงานข่าว
อีกประเด็นคือการโทรศัพท์สัมภาษณ์จิตแพทย์หรือบุคลากรทางด้านสุขภาพจิตด้วยคำถามที่กว้างมากโดยไม่เคยค้นคว้าข้อมูลพื้นฐานมาก่อน เช่น “แบบนี้ถือว่าเป็นโรคจิตหรือเปล่า” ถ้าถามผม ผมก็จะไม่ตอบ เพราะผมถือว่าคุณไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน คำว่าโรคจิตในภาษาชาวบ้านเป็นความหมายที่กว้างมากเช่นเดียวกับคำว่าปัญหาสุขภาพจิต แต่ถ้าคุณไปศึกษาว่าปัญหาสุขภาพจิตประกอบด้วยโรคอะไรบ้าง และโรคที่น่าสงสัยตามอาการที่ค้นคว้ามามันมีโอกาสเป็นได้ไหม ก็ค่อยมาถาม ถ้าจะให้ตอบว่าเป็นโรคจิตหรือไม่ ก็ต้องคุยกันอีก 3-6 ชั่วโมง แล้วจะมีเวลาให้ผมตอบหรือไม่
ส่วนประเด็นที่เชิญวิทยากรไปร่วมรายการ หรือโทรศัพท์สัมภาษณ์ เท่าที่ผมพบเจอบ่อยๆ คือการโทรศัพท์จิกแบบจู่โจม โดยไม่นัดเวลาล่วงหน้า นึกอยากจะจิกก็จิก จะต้องขอสัมภาษณ์ในบัดเดี๋ยวนั้นรอไม่ได้ ผมขอใช้คำว่าโทรฯ จิกครับ เพราะว่าพวกเขาโทรฯ จิกติดต่อกันโดยไม่หยุด ไม่คิดว่าวิทยากรต้องประกอบอาชีพ และมีภารกิจส่วนตัว เขาไม่ได้นั่งรอให้คุณโทรฯ ไปจิกเพื่อลากตัวเข้ารายการ เรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ยังคงมีอยู่เป็นประจำ ไม่ทราบว่าครอบครัว สถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานที่ทำงานอยู่ เคยอบรมสั่งสอนเรื่องเหล่านี้บ้างไหม บางรายคงนึกว่าวิทยากรเป็นข้าทาสที่ยินดีจะให้พวกเขาโทรฯจิก แต่ที่แย่กว่าคือ โทรฯ มากะทันหันโดยบอกว่าอีก 5 นาทีจะโทรฯ มาเพื่อขอสัมภาษณ์ แต่สุดท้ายก็ไม่โทรฯ กลับไป แล้วเงียบหายไป แต่พอนึกจะสัมภาษณ์อีกก็โทรฯ ไปจิกอีก ถือว่าไร้มารยาทมาก
ขอปิดท้าย ในฐานะผู้เสพสื่อ ประโยคที่ผมเกลียดที่สุดเมื่อดูสื่อฯ คือ “โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” ประโยคนี้แสดงให้เห็นถึงการขาดความรับผิดชอบต่อสังคมของสื่อฯ คุณมีหน้าที่ผลิตสื่อ นำเสนอข้อมูล แต่ไม่เคยถามตัวเองบ้างหรือว่า ก่อนนำเสนอ คุณใช้สมองกลั่นกรองไตร่ตรอง และใช้วิจารณญาณในการนำเสนอดีแล้วหรือยัง ไม่ใช่นำเสนอเรื่องบ้าๆ บอๆ ไร้สาระ มโนเพ้อพกไปเรื่อย โดยเฉพาะพวกไสยศาสตร์ ความเชื่อที่ยังไม่มีการพิสูจน์ แล้วยังบอกให้ผู้อื่นโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม เหมือนคุณจงใจเขวี้ยงอุจจาระใส่คนอื่น แล้วตะโกนบอกว่า หลบให้ดีนะ สื่อฯ ต้องเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า ไม่ควรเอามือของตนหยิบอุจจาระเขวี้ยงใส่คนอื่น มันเลวร้ายที่ตัวของสื่อฯ เอง มันไม่ได้เลวร้ายที่คนชม แต่ผมก็เข้าใจว่า บางครั้งมันมีคนชมบางรายชอบรายการไร้สาระ ไร้ปัญญา ซึ่งเรื่องนี้ต้องคุยกันอีกในโอกาสต่อไป ว่าสังคมจะต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
(ขอบคุณ บทความจากนายแพทย์ กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี