ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง ของเหตุการณ์ “เด็กติดถ้ำ” ที่ “ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน” อ.แม่สาย จังหวัดเชียงราย ก็คือ นำสังคมไทยมาสู่การเรียนรู้เรื่อง “ความพอดี”
สังคมไทยเป็นสังคมที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือ “พระพุทธศาสนา” แต่ประหลาดมาก ที่ไม่เคยเข้าถึง “หลักธรรม” อันเป็นรากฐานของคำสอนในพระพุทธศาสนาเรื่อง “มัชฌิมาปฏิปทา” คือ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป พอดีๆ
1) สถานภาพของเด็กที่พอดีๆ คือ เขาเป็นผู้ประสบภัย ไม่ใช่วีรบุรุษ ไม่ใช่เด็กซน เด็กเกเร เด็กสร้างปัญหา เขาแค่ไปเที่ยวถ้ำตามวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้น เกิดฝนตกหนัก น้ำไหลบ่า
ปิดกั้นทางออก ในระดับส่วนตัว โค้ชกับเด็กๆ พยายามรักษาชีวิตของกันและกัน ด้วยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งทำได้ดีมาก น่าเรียนรู้ จากนั้นก็ติดอยู่ในถ้ำเป็นเวลากว่า 10 วัน ท่ามกลางการระดมสรรพกำลังทั้งในและนอกประเทศมาช่วยเหลือ ดังที่ปรากฏและประจักษ์ไปทั่วโลกแล้ว ฉะนั้น ความพอดีประการถัดมาที่ทุกคนต้องเข้าใจให้ตรงกันก็คือ “การได้รับการช่วยเหลืออย่างดีที่สุดที่เกิดขึ้น คือสิ่งที่ “ดีที่สุด”ที่พวกเขาพึงจะได้รับ และพวกเขาได้รับไปแล้ว” การได้รักษาชีวิตไว้ และมีกระบวนการ + ผู้คน เข้าช่วย “กู้ภัย” นำตัวออกมารับการรักษาพยาบาล คือ มนุษยธรรม ที่งดงาม ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้ว ท่ามกลางความประทับใจของคนทั้งโลกที่ติดตามเหตุการณ์นี้ นับจากนี้ไป จงให้สิ่งที่ดีที่สุด อันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ควรจะให้กับพวกเขาก็คือ “ให้ชีวิตปกติ” คืนแก่พวกเขา หยุดรบกวนชีวิตพวกเขาในทุกกรณี
2) แต่ในความจริง ชีวิตของพวกเขายังถูก “กลุ้มรุม” อยู่ ดังที่ นายชัยวัฒน์ ลิมวัฒนานนท์ เขียนเป็นภาพพร้อมกับถ้อยคำประกอบว่า “ความมืด ทำร้ายเธอไม่ได้ แต่...ความสว่างสิ” เผยแพร่ในเฟซบุ๊ค Chaiwat Limwattananon เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2561 ที่ผ่านมา (ขออนุญาตนำมาเป็นภาพประกอบบทความนี้)
3) ในความเห็นส่วนตัวของผม เห็นว่า สังคมไทยกำลัง “ขาดความพอดี” ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะกับเรื่องนี้ กำลังขาดความพอดีเรื่อง “การลงโทษและการให้รางวัล” บางคนก็กล่าวโทษเด็กราวกับเป็นอาชญากร เป็นฆาตกร สร้างปัญหา ที่ต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมหาศาลเข้าไปช่วยเหลือ อันนี้เป็นการลงโทษที่สุดโต่งด้วยการตีตราและประณามที่เกินจริง เขาเป็น ผู้ประสบภัย” ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือครับ และเขาได้รับสิ่งนั้นแล้ว รางวัลที่ดีที่สุดและเขาสมควรได้รับก็คือ การยังมีชีวิตอยู่ ได้ออกจากถ้ำอย่างปลอดภัย และคืนกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัว จากนั้นก็ดำเนินชีวิต สู้ชีวิต และสร้างชีวิตไปตามหนทางปกติ ด้วยความรู้ ความสามารถ และความดีของพวกเขา เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่จะต้องเติบโต ได้รับการช่วยเหลือและรางวับต่างๆ จาก “การลงมือกระทำ” ของพวกเขาเอง เช่น ได้รับโอกาสหรือทุนสนับสนุนการศึกษา เพราะเขาเรียนดี ความประพฤติดี และมีศักยภาพด้านการกีฬาอย่างสำคัญ
4) จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักหน่วง เมื่อมีการ “ให้” ที่ถูกมองว่า “เกินพอดี” เกิดขึ้น เช่น เมื่อมหาวิทยาลัยนเรศวร ลงนามโดย ศ.พิเศษ ดร.กาญจนา เงารังษี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) ได้ทำหนังสือที่ ศธ 0527/11178 เรื่องการสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับโค้ชและนักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2561 โดยมีใจความว่า...
“...ด้วย มน. จ.พิษณุโลก ได้รับทราบข่าวโค้ชและนักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย รวมทั้งสิ้น 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน และอยู่ระหว่างการช่วยเหลือให้ออกมาจากถ้ำอย่างปลอดภัยนั้น ในการนี้ มน.มีความยินดีช่วยเหลือและสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับโค้ชและนักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย จำนวน 13 คน หากมีความต้องการและสนใจเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี โท หรือเอก ของ มน. โดย มน.พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับโค้ชและเด็กๆ ทุกคนตลอดการศึกษา ทั้งนี้ มน.ได้มอบหมายให้นางศิริมาศ เสนารักษ์ ผอ.กองกลาง โทร 08-9565-1638 เป็นผู้ประสานงานในรายละเอียดต่อไป...”
5) ต่อมา ศ.พิเศษดร.กาญจนา เงารังษี อธิการบดี มน. ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ กล่าวว่า การที่มหาวิทยาลัยจะมอบทุนการศึกษาให้กับโค้ชและนักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมี ทั้ง 13 คนนั้นเนื่องจากมหาวิทยาลัยเล็งเห็นภาวะผู้นำของโค้ชเอกที่สอนให้น้องๆ ขณะอยู่ในถ้ำ ไม่ว่าจะเป็น การนั่งสมาธิจะได้ไม่หิวในถ้ำ รวมถึงเห็นความตั้งใจ และการเชื่อฟังโค้ชเอกของเด็กๆ ทีมหมูป่าจนทำให้รอดชีวิตมาได้ จึงมองว่า นี่คือการควานหาเพชรในสังคมไทย มหาวิทยาลัยจึงควรสนับสนุนการศึกษาให้เด็ก ซึ่งเป็นผู้ประสบภัย ได้มีโอกาสเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
“มหาวิทยาลัยไม่ได้เกาะกระแสสังคมตามที่หลายคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ โดยการให้ทุนเรียนฟรีดังกล่าวอยู่ในโครงการกองทุนบัณฑิตคืนถิ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการของมหาวิทยาลัยที่จัดขึ้นปีนี้เป็นปีแรก จากการรวบรวมทุนของภาคเอกชนและภาครัฐ ไม่เกี่ยวกับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา จำนวนทุนยังไม่จำกัด อยู่ที่จำนวนเงินที่มหาวิทยาลัยได้รับบริจาค แต่ต้องทำข้อตกลงว่า หากสำเร็จการศึกษาแล้วต้องกลับไปทำงานพัฒนาบ้านเกิดตามภูมิลำเนา โดยมหาวิทยาลัยลงพื้นที่ไปช่วยหางานให้ทำอีกด้วย”
อธิการบดี มน. กล่าวต่อไปว่า ถ้าโค้ชเอกและเด็กสนใจที่จะเรียนมน.ไม่ว่าจะเป็นคณะไหน สามารถติดต่อได้ทันที โดยจะมอบเงินค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมถึงหอพักให้อยู่ฟรีอีกด้วย ส่วนจะเรียนต่อจนถึงระดับไหน อยู่ที่ความสามารถของเด็ก นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยยังมีทีมฟุตบอลให้เด็กๆ ได้เข้าร่วม แต่ต้องขึ้นอยู่กับทักษะการเล่นฟุตบอลของเด็กด้วย อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยพร้อมช่วยเหลือหน่วยซีลที่ช่วยเหลือทีมหมูป่า หากต้องการให้ลูกเข้าเรียน มหาวิทยาลัยนเรศวรก็ยินดีต้อนรับ
6) เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ผศ.ดร.ประภาษ เพ็งพุ่ม อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยนเรศวร เปิดเผยกับ เดลินิวส์ออนไลน์ ว่า รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นโซเชียลโจมตีความปรารถนาดีในการหยิบยื่นโอกาสของ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในการเสนอโอกาสทางการศึกษาให้แก่ น้องๆ เยาวชนทีมหมูป่า ได้เรียนหนังสื่อในอนาคต ทั้งนี้ทีมหมูป่าฯทั้ง 13 คน
คือ ผู้ประสบภัยที่ต้องการกำลังใจ และการฟื้นฟูในด้านต่างๆ ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญ ดังนั้นในฐานะคนไทยด้วยกันก็ควรมีมุมมองด้านเมตตาธรรมช่วยเหลือเยียวยาเท่าที่จะทำได้
“จะเห็นได้ว่า มีทีมฟุตบอลชื่อดัง เชิญไปชมการแข่งขัน หรือแม้แต่การแข่งขันฟุตบอลโลกก็ยังอยากให้เด็กๆ ไปชมการแข่งขันด้วย แล้วการที่ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของสเปซเอ็กซ์ และบอริง คอมพะนี เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อช่วยเหลือในด้านเทคโนโลยี เรือดำน้ำจิ๋ว ในการเคลื่อนย้าย และเมื่อช่วยเหลือสำเร็จแล้ว เขาก็ยังมอบเรือดำน้ำดังกล่าวให้แก่ทางราชการ สิ่งเหล่านี้คือกระแสสังคมโลก ไม่ได้มีการโหนกระแต่อย่างใด แล้วทำไมคนไทยด้วยกันเองถึงไม่อยากเยียวยาหรือช่วยเหลือทีมหมูป่า หยิบยื่นโอกาสให้น้องๆ กันบ้าง” อ.ประภาษ กล่าว และเผยอีกว่า สำหรับประเด็นที่ว่า มีการยุบหน่วยงานบางหน่วยออกไปจากมหาวิทยาลัย ทำให้ดูเหมือนยังจัดการงบประมาณเพื่อการศึกษาหรือวิจัยให้เรียบร้อยไม่ได้นั้น ทางมหาวิทยาลัยมีคณะกรรมการในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ซึ่งการตัดสินใจในการยุบหน่วยงานเป็นเรื่องการบริหารภายใน มีการคิดพิจารณาโดยชอบแล้ว และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารงบประมาณเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสได้เรียนแต่อย่างใด มองได้ว่าเป็นคนละเรื่องกันอย่างแน่นอน
“การกล่าวร้าย ด้วยอคติ หรือมีมุมมองที่คับแคบ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียล ซึ่งผู้มีปัญญาไม่ควรกระทำ ใครจะกล่าวหาอย่างไร แล้วแต่มุมมองความคิดของเขา เพียงแต่ผมเชื่อว่า อะไรที่เป็นความปรารถนาที่ดี และมีมุมมองในด้านเมตตาธรรม ช่วยเหลือกัน เป็นเรื่องที่ควรสนับสนุนแค่นั้นเองครับ”อ.ประภาษ กล่าวทิ้งท้าย
7) ผมยังคิดว่า “ระบบความคิดและการให้รางวัล” หรือจะเรียกว่าให้กำลังใจก็ตาม ของ ม.นเรศวร และอาจารย์ 2 ท่านที่ออกมาพูดนี้ ผิด!!! เช่น การจะควานหา “เพชร” มารับทุนการศึกษาในโครงการบัณฑิตคืนถิ่น จะต้องเปิดให้มีการ “เสนอตัว” จากเยาวชนผู้สนใจจะเป็น “บัณฑิตคืนถิ่น” ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และในจดหมายควรจะเขียนอย่างสั้นๆ แต่ชัดเจนแจ่มแจ้งไปเลยว่า ม.นเรศวร มีทุนการศึกษาและโครงการนี้อยู่ หากโค้ชและเด็กๆ สนใจ ก็เข้าร่วมโครงการนี้ได้ เพื่อเข้า “รับการพิจารณา” ร่วมไปกับคนอื่นๆ ที่จะเสนอตัว เสนอคุณสมบัติของเขาเข้ามา นี่คือการ “ให้โอกาส” ซึ่งให้เท่าๆ และพร้อมๆ กับที่ให้แก่เยาวชนทุกคน ซึ่งจะต้องมี “คุณสมบัติ” ครบถ้วนตามเกณฑ์ ไม่ใช่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อ้อ...ต้องไปติดถ้ำเนอะ โอกาสดีๆ แบบนี้จะมาทันที ซึ่งเป็นการสื่อสารและ “สร้างการเรียนรู้” ในระบบ “การให้รางวัล” ที่ผิด
8) ส่วนการเอาไปเทียบกับอีลอน มัสก์ หรือเรื่องฟุตบอลโลกนั้น ยิ่งเป็นตรรกะวิบัติอย่างร้ายแรง เพราะการเข้าชมฟุตบอล หรือให้ข้าวให้ของดังกล่าวนั้น เป็นการยก “สินค้าและบริการ” ของบริษัทหรือทีมให้ แต่ มน. เป็นสถาบันการศึกษา ไม่ใช่บริษัทหรือทีมฟุตบอล ที่ไม่ต้องคำนึงถึง “ความเท่าเทียม” และ “การกระจายโอกาส” อย่างเสมอภาคและมีเหตุผล บริษัทของอีลอนกับทีมฟุตบอลไม่ใช่องค์กรด้านการ “ผลิตบุคลากรออกมารับใช้ประเทศไทย” โดยตรงเหมือน มน. จงอย่าสับสน และมีตรรกะพิลึกเช่นนี้ เงินหรือค่าใช้จ่ายที่เขาจะให้ในรูปของการไปดูฟุตบอลหรือของที่เขาทำแล้วไม่ได้ใช้ มันก็เป็นเงินจากการ “ประกอบการ” ของเขา ไม่ใช่เงินสนับสนุนหรือเงินบริจาค ให้เป็น “ทุนการศึกษา” ที่มีวัตถุประสงค์ชัดเจนเช่นของ มน. ด้วย แต่การจะใช้เกณฑ์ว่า เด็กผ่านสถานการณ์เลวร้ายมา โค้ชมีภาวะผู้นำที่น่าตอบแทน ก็ขอแค่เป็นเกณฑ์หนึ่งที่กรรมการพิจารณาทุนจะใช้เป็น “คะแนนพิเศษ” แต่ไม่ใช่ตั๋ววีไอพี ที่พรวดพราดขึ้นไปรับทุ
นการศึกษาได้เลยทันที โดยไม่มีโอกาสให้คนอื่นเสนอคุณสมบัติของเขาขึ้นมาเปรียบเทียบ เพียงเพราะเขาซึ่งมีใจจะเป็น “บัณฑิตคืนถิ่น” ไม่เคยไปประสบภัยและเป็นข่าวใหญ่โต
9) นพ.ณัฎฐชัย รำเพย อดีตรองประธานสภานิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร อดีตรองประธานคณะกรรมการดูแลการรับน้องและประชุมเชียร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร อดีตกรรมการองค์การนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร และ อดีตที่ปรึกษาสโมสรนิสิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โพสต์ความเห็นส่วนตัวในเฟซบุ๊คชื่อว่า Natthachai Ramphoei ระบุว่า
เรียนผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่เคารพ จากที่มีหนังสือจากมหาวิทยาลัยนเรศวรที่ผมรัก ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ว่าจะให้ทุนการศึกษาทีมหมูป่าจนจบปริญญาเอกนั้น ผมจึงขอเขียนข้อความนี้ โดยคาดหวังว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะได้เห็น (หลายๆ ท่านเป็นเพื่อนใน facebook กับผม) และตระหนักถึงปัญหาจากเหตุการณ์ข้างต้นโดยทั้งหมดเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเล็กๆ ของผมแต่เพียงผู้เดียว
1 : ผมเห็นว่าน้องๆ หมูป่า เป็นผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ สมควรได้รับการเยียวยา (น้องๆหมูป่าเข้าไปในถ้ำช่วง มิ.ย. แต่ถ้ำปิดให้ท่องเที่ยวเดือน ก.ค.)
2 : จากข้อ 1 ย่อมมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเยียวยาน้องๆ หมูป่าอยู่แล้ว มิใช่หน้าที่ของมหาวิทยาลัยนเรศวรในบทบาทหน้าที่นี้ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวรสามารถร่วมแสดงน้ำใจเยียวยาน้องๆ หมูป่าอย่างเหมาะสมได้ให้เข้ากับบริบทของมหาวิทยาลัย
3 : การให้ทุนการศึกษาควรพิจารณาจากผลงาน ฐานะทางบ้าน ผลการศึกษา และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยต้องมีแนวทางมีชัดเจนในการพิจารณาทุนการศึกษา ไม่ควรใช้การให้ทุนการศึกษาเป็นการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติ อันไม่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาแต่อย่างใด
4 : มหาวิทยาลัยควรมีบทบาทในการชี้นำสังคมในค่านิยมที่ถูกต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมของวิชาการ ดังนั้น หากมีความประสงค์จะทำกิจกรรมร่วมกับน้องๆ หมูป่า อาจทำได้ในแง่มุมที่เหมาะสมเช่น การเชิญมาร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับภัยธรรมชาติในแง่มุมต่างๆ หรือโครงการใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการฟื้นฟูสภาพกายและใจของน้องๆ หมูป่าหลังการเผชิญเหตุร้าย เป็นต้น
5 : ผมขอเรียนผู้บริหารมหาวิทยาลัยนเรศวรตรงๆ โดยเฉพาะอาจารย์กาญจนา (อธิการบดี) ที่เคารพ ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของท่าน เป็นเหตุให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเกิดข้อครหาต่อมหาวิทยาลัยนเรศวรไปในวงกว้าง จึงขอให้ท่านออกมาชี้แจงเหตุผล “อันเหมาะสม” ของเรื่องดังกล่าวต่อสังคมและแสดงรับผิดชอบต่อมหาวิทยาลัยที่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ จึงเรียนมาเผื่อโปรดพิจารณา
10) กรณีนี้ เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ประกาศให้ทุนการศึกษา แก่บุตรหลานชาวนาที่เสียสละ ยอมให้ระบายน้ำจากถ้ำเขาหลวงเข้าท่วมที่ดินทำกิน การกระทำของ ม.รามฯ ยังอธิบายได้ว่า ตรรกะของการให้รางวัล เพราะพวกเขาได้ “สละ” บางอย่าง จึงควรได้รับการ “เติมเต็ม” บางอย่าง เช่นเดียวกับเงินช่วยเหลือของบริษัทท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ต่อครอบครัวของ “จ่าแซม” ที่เสียชีวิตขณะเข้าร่วมปฏิบัติการกู้ภัยครั้งนี้ หรือการที่ประชาชนมาต้อนรับหน่วยซีลที่อู่ตะเภา ประชาชนชาวนครปฐมต้อนรับคณะเครือ่งสูบน้ำพญานาค ที่องค์พระปฐมเจดีย์ นั่นคือการส่งสัญญาณว่า สังคมยอมรับนับถือ “ความดี” เห็นความดี และยกย่องสรรเสริญ อย่างสมเหตุสมผล ไม่ได้ “ให้” อย่าง “เกินไป” และเกินที่จะอธิบายได้
11) รวมไปถึงเรื่อง “การให้สัญชาติ” ที่กระทรวงมหาดไทยกำลังพิจารณาให้แก่เด็ก 2 คนและโค้ชเอกด้วย เป็นเรื่องดี และเป็นไปตามกระบวนการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ช่วยจัดการกับปัญหาเด็กไร้สัญชาติในประเทศไทยให้ทั่วถึงและเท่าเทียมไปในคราวเดียวกันด้วยเสียเลย ก็จะดีมาก เพราะยังมีกลุ่มชาติพันธุ์มากมาย ที่มีองค์ประกอบครบถ้วนที่จะได้รับสัญชาติไทยรอกระบวนการที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึงของมหาดไทยอยู่อีกทั่วประเทศ
สิ่งที่คนไทยทั้งหลาย ควรปฏิบัติต่อทีมหมูป่า “ติดถ้ำ” ทั้งหมดก็คือ “พวกเขาเข้าถ้ำไปตามปกติ จงปล่อยพวกเขาออกจากถ้ำของพวกคุณ แล้วให้เขาได้ดำเนินชีวิตไปตามหนทางปกติของพวกเขาเถิดครับ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี