เมื่อคณะ คสช. เข้ายึดอำนาจ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และจัดตั้งรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ได้ประกาศนโยบายสำคัญยิ่งของรัฐบาล เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและท้องที่ต่างๆ ตามแนวชายแดนทั่วประเทศ
นั่นคือนโยบายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนจำนวน 9 เขต ในพื้นที่ต่างๆ ทุกภาคของประเทศไทยที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทุกพื้นที่มีการค้าขายชายแดนกันตามธรรมชาติอยู่แล้ว
ดังนั้นนโยบายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนทั้ง 9 แห่ง จึงสอดคล้องกับความปรารถนาทั้งปวงชน และเล็งเห็นประโยชน์ที่จะบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรในทุกพื้นที่ แม้กระทั่งประชาชนทั่วประเทศ
คนทั้งปวงมีความหวังว่า พื้นที่ชายแดนที่ถูกทอดทิ้งให้ยากจนขาดแคลนแล้วล้าหลังมาเป็นเวลายาวนานแล้ว และทำให้สภาพชายแดนแทบทุกพื้นที่ของประเทศเป็นพื้นที่ของปัญหาสารพัด จะได้รับการกอบกู้สร้างสรรค์ให้มีความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ทำให้ประชาชนตามแนวชายแดนเดินหน้าอ้าปากและเป็นกำลังแผ่นดินทางด้านเศรษฐกิจได้ เช่นเดียวกับประชาชนในเมืองหลวงและในเมืองใหญ่
รัฐบาล คสช. ก็คงรู้คงเห็นและตระหนักเป็นอย่างเดียวกันว่า แผ่นดินประเทศไทยนั้น จะไม่มีความเจริญรุ่งเรือง มั่นคง และมั่งคั่งอย่างแท้จริง หากว่ายังคงปล่อยทิ้งท้องที่และท้องถิ่นชายแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล และมีประชาชนจำนวนมากทำมาหากินในท้องถิ่น ประหนึ่งเป็นกองกำลังทหารในชายแดนให้ลำบากยากจนขาดแคลนและล้าหลังดังเดิม
ดังนั้น นอกจากตัวหัวหน้า คสช. จะเป็นแม่ทัพขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการค้าชายแดน หรือเนื้อแท้ก็คือ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ความมั่นคงมั่งคั่งในพื้นที่ชายแดนด้วยตนเองแล้ว ยังจัดวางบุคคลสำคัญของ คสช. เข้ารับหน้าที่เพื่อทำยุทธศาสตร์นี้ให้สำเร็จ
ไม่ว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แม้กระทั้งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ก็ได้เข้าร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นี้อย่างพร้อมพรั่ง มีการจัดประชุมคณะต่างๆและระดับต่างๆ นับ 100 ครั้ง
ในขณะที่ ภาคธุรกิจในพื้นที่ชายแดนทุกภาคส่วน หอการค้า และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทุกพื้นที่ชายแดนทุกภาคส่วนพากันตื่นตัวจนเนื้อเต้น เพราะใครๆก็เห็นได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองและอาณาประโยชน์ที่จะบังเกิดขึ้น จึงให้การสนับสนุนกันล้นหลาม
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน ในพื้นที่ที่ชายแดนติดต่อกันกับพื้นที่ที่ประเทศไทยจะตั้งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษชายแดนก็พากันตื่นตัว พร้อมกันที่จะประสานการค้าชายแดนให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น กระทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้มีความคิดที่จะตั้งเขตเศรษฐกิจภายในประเทศตามอย่างประเทศไทย
ประเทศลาวได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษถึง 19 เขต เวียดนามจัดตั้งถึง 21 เขต ในขณะที่เมียนมาจัดตั้งประมาณ 19 เขต และทั้งหมดนี้ ได้ถือต้นแบบจากประเทศจีนโดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น เซียะเหมิน ที่เจริญรุ่งเรืองเห็นเด่นชัดเป็นแบบอย่าง
เพราะเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้นเป็นภูมิปัญญาของจีน ที่เกิดขึ้นจากหลักทฤษฎีของ เติง เสี่ยว ผิง โดยใช้เซินเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนนำร่อง ครั้นประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ก็ได้ขยายไปทั่วพื้นที่ฝั่งทะเลตะวันออก เป็นรากฐานความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน
เพียง 2-3 ปี ผ่านไป เวียดนาม ลาว และเมียนมา ได้สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษสำเร็จไปหลายแห่ง แต่ในประเทศไทยของเราหลัง หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล พ้นจากตำแหน่งแล้ว ยุทธศาสตร์เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนทั้ง 9 แห่ง ก็หายไปกับสายลม
และเกิดเขตเศรษฐกิจ EEC ในพื้นที่แค่ 3 จังหวัด คือ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมานานแล้ว อำนวยประโยชน์ให้เจ้าของนิคมทั้ง 11 แห่ง อย่างยิ่งใหญ่ ในขณะที่ผู้ที่เคยมีความหวังในเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจำนวนมาก พากันเศร้าสลดตามๆ กัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี