ขณะนี้ ทีมนักดำน้ำต่างชาติที่รวมปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือ พาผู้ประสบภัยทีมหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 คน ออกมาจาก “เนินนมสาว” สู่ “โถง 3” ต่างให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศกันพอสมควร ถึงรายละเอียดว่าสามารถพาเด็กๆ ออกได้อย่างไร ด้วยวิธีใด
ข้อเท็จจริงจากปากของคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง สอดคล้องต้องกัน
สรุป ดังนี้
1. ริค สแตนตัน และจอห์น โวลันเธน นักดำน้ำในถ้ำชาวอังกฤษ คือ สองคนแรกที่เข้าไปพบ
จากนั้น สภากู้ภัยถ้ำแห่งบริติช ส่งคริสโตเฟอร์ จีเวลล์ และ เจสัน มัลลินสัน มาช่วยภารกิจ
ส่วนทีมออสเตรเลีย คือ คุณหมอริชาร์ด แฮร์ริส และคู่ดำน้ำ เครก แชลเลน ตามมาสมทบ
ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการนำตัวเด็กออกมาจากเนินนมสาว
ทั้งหมดให้สัมภาษณ์ชื่นชม ให้เกียรติ ให้เครดิตทีมหน่วยซีลของไทย และทีมอื่นๆ ที่ร่วมสนับสนุนภารกิจ
โวลันเธน ยืนยันว่า การไปเจอเด็ก ไม่ใช่บังเอิญว่า guide rope ที่วางใต้น้ำหมดแล้วโผล่ขึ้นมา เจอเด็กพอดี แต่ตามแผนที่ปฏิบัติกัน คือ ทุกครั้งที่พอมีช่องอากาศเหนือน้ำ ให้ขึ้นมาหายใจ เมื่อโผล่ขึ้นมาก็จะค้นหาทีมหมูป่า โดยใช้วิธีตะโกน และใช้จมูกดมกลิ่น จุดที่เจอ เขาได้กลิ่นก่อน เลยตรงเข้าไปจุดนั้น และเจอจริงๆ
หลังเจอเด็กครั้งแรก ได้แต่ปลอบใจ ไม่มีอาหารให้ มีแต่ไฟฉายเพิ่มให้เด็กๆ และสัญญาว่าจะกลับมา
คุณหมอริชาร์ด แฮร์ริส เขียนยืนยันข้อมูลว่า ช่วงตั้งแต่เจอเด็ก จนช่วยออกมา นักดำน้ำในถ้ำ 4 คน จากอังกฤษนั่นเอง เป็นคนขนอาหารและข้าวของต่างๆ ไปให้กับทีมหมูป่าและหน่วยซีลไทยที่เสียสละอยู่กับเด็ก
2. โวลันเธน ยืนยันว่า ก่อนเริ่มปฏิบัติการจริง ได้มีการฝึกซ้อมกับเด็กในท้องถิ่น ที่สระว่ายน้ำท้องถิ่น และมีการระดมพลมาเสริมจากทาง BCRC องค์กรกู้ภัยถ้ำองค์กรอื่นในยุโรป และทีมคุณหมอจากออสเตรเลีย
นักดำน้ำในถ้ำที่ใช้นำเด็กออกมา มี 4 คนหลักจากอังกฤษ แล้วก็ทีมออสเตรเลีย 2 คน นักดำน้ำจากยุโรป 4 คน เป็นฝ่ายตามสนับสนุนอยู่ตามจุดต่างๆ
3. ในการพาเด็กออกมา ใช้นักดำน้ำ 4 คนหลัก คือ จอห์น โวลันเธน, ริค แสตนตัน, คริสโตเฟอร์ จีเวลล์ และ เจสัน มัลลินสัน
วิธีการ คือ หิ้วเด็กออกมา
ในลักษณะ หนึ่งต่อหนึ่ง
บางจุด ก็หิ้วเด็กไว้ด้านล่าง ใต้อก
บางจุด ก็สลับเอามากอดไว้ด้านข้างลำตัว
บางจุด ก็ต้องผลัก ดัน เฉพาะตัวเด็กให้ผ่านไปก่อน เพราะแคบ
โดยมืออีกข้างของนักดำน้ำ ต้องคลำเชือกนำทางไปเรื่อยๆ
ทำงานภายใต้สภาวะที่ทัศนวิสัยแย่มาก ถึงขนาดว่าขนาดหน้ากากเด็ก ขณะดำบางทีก็ไม่เห็น รู้สึกกังวลเรื่องการหายใจของเด็ก ใช้วิธีทำความคุ้นเคยกับลักษณะการหายใจของเด็ก แล้วอาศัยฟังเสียงจากฟองอากาศที่ออกมาจากท่อด้านข้างหน้ากาก เด็กบางคนก็ออกมาแบบสม่ำเสมอ บางคนออกมา แล้วเว้นช่วงไปนาน
ระหว่างทาง เมื่อดำน้ำแล้ว ก็มีบางช่วงเป็นเนินดิน เป็นจุดที่นักดำน้ำสนับสนุนเข้ามาช่วยถอดเปลี่ยนใส่ถังอากาศให้เด็ก และตรวจสภาพของเด็ก ก่อนที่จะต้องดำลงต่อในช่วงอุโมงค์น้ำถัดไป
ในวันแรกที่เอาเด็กออกมาคนแรก มัลลิสันเป็นคนนำเด็กออกมาคนแรก ลุ้นระทึกว่าแผนการที่วางกันไว้ สำเร็จหรือไม่ สแตนตันไปยืนลุ้นตรงจุดที่เด็กจะขึ้นมาเพื่อตรวจเช็คการหายใจ หลังผ่านอุโมงค์ดำน้ำแรก เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จึงดำเนินการตามแผนเต็มที่
ในวันสุดท้าย มัลลินสันเป็นคนดำซ้ำ ขนเด็กสองคน (ดำสองเที่ยว) เพราะแผนการอพยพเปลี่ยน จากสองวันแรกขนเด็กวันละ 4 คน เป็น 5 คนในวันสุดท้าย
4. เครก แชลเลน นักดำน้ำจากออสเตรเลีย คู่บัดดี้ดำน้ำในถ้ำของคุณหมอแฮร์ริส เปิดเผยเช่นเดียวกันว่า เด็กแต่ละคน ถูกหอบหิ้วออกมาโดยนักดำน้ำ แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
มีการให้ยาเด็ก เพื่อมิให้มีการตื่นกลัว
หมอแชลเลนบอกว่า ทีมหมูป่าเป็นคนตัดสินใจจัดลำดับกันเองว่าใครจะออกก่อน-หลัง
ยืนยันด้วยว่า หากใช้วิธีส่งเสบียงอาหารเข้าไปให้เด็กอยู่ข้างในจนน้ำลด พ้นฤดูฝน ทีมประเมินกันแล้ว เป็นไปไม่ได้ เพราะหลังจากนี้จะไม่สามารถดำกันเข้าไปถึงจุดที่เด็กๆ อยู่ส่งเสบียงได้อีก แล้วเด็กก็จะเริ่มติดเชื้อ มีปัญหาสุขภาพ อาจเสียชีวิตได้ นั่นคือเหตุผลว่าต้องนำตัวออกมาให้ได้
5. กล่าวได้ว่า มีการใช้ยากับเด็กจริงๆ (ตามที่บิ๊กตู่บอกกับสื่อ) แต่มีหมอดูแล ไม่ใช่วางยาสลบ
Daily Mail เชื่อว่ายาที่คุณหมอแฮร์ริสให้กับเด็กๆ คือ Ketamine ซึ่งเป็นยากล่อมประสาทที่จะไม่ทำให้สลบ แต่จะทำให้ผู้ที่ได้รับเหมือนตกอยู่ในภวังค์
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี