วันก่อน เห็นข่าวนายจตุพร พรหมพันธุ์ เดินทางไปขึ้นศาลทหารร่วมกับแกนนำนปช.รายอื่นๆ
นายจตุพรพยายามยิ้มแย้ม ไขมันลดลง ร่างกายเพรียวขึ้น
และแตกต่างจากจำเลยคนอื่น ตรงที่มีรถหลวงบริการรับ-ส่ง
โดยเบิกตัวมาจากเรือนจำ
ปรากฏว่า บางคนไม่เข้าใจ หรือหลงลืม หรือแกล้งหลงลืม หาว่าทำไมนายจตุพรไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเหมือนแกนนำคนอื่นๆ?
ความจริง คือ เหตุที่นายจตุพรติดคุกอยู่นั้น เป็นผลมาจากคดีความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น กระทำผิดกฎหมายอาญาปกติ โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว
และไม่ใช่มีแค่คดีเดียวด้วย
1. เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2560 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1962/2552
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายจตุพรพรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332
จากกรณีเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2552 นายจตุพรได้ปราศรัยที่วัดไผ่เขียว แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. ใส่ร้ายในทำนองว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลภายใต้ทรราชฟันน้ำนม กล่าวหาว่าเป็นคนสั่งทหารให้ไปยิงประชาชน เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน ซึ่งล้วนเป็นเท็จ
ศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกนายจตุพร เป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา
โดยศาลฎีกาได้พิจารณาถึงข้อเท็จจริงในประเด็นที่ฝ่ายโจทก์ คือ นายอภิสิทธิ์ ถูกกล่าวหาว่าสร้างสถานการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยด้วย ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเสร็จไปก่อนเกิดความไม่สงบที่กระทรวงมหาดไทย ไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์จะสร้างสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีก และไม่สมเหตุผลที่โจทก์จะต้องสร้างสถานการณ์ไม่สงบให้เกิดขึ้น เพราะอาจทำให้มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเสถียรภาพของรัฐบาลโจทก์ เมื่อพิจารณาภาพเหตุการณ์ประกอบหนังสือพิมพ์ปรากฏว่าวันดังกล่าวมีกลุ่มคนสวมเสื้อแดงรุมทุบทำลายรถ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บ หากรัฐบาลโจทก์จัดฉากก็น่าจะนำนายนิพนธ์ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในรัฐบาลออกไปพร้อมโจทก์ด้วย ไม่น่าจะจัดฉากสร้างสถานการณ์ ข้ออ้างไม่มีน้ำหนัก
ศาลฎีกายังชี้ด้วยว่า นายจตุพร จำเลย ในฐานะแกนนำมวลชนกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความขัดแย้งทางการเมืองกับโจทก์อย่างรุนแรง ก็ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดและวิเคราะห์ข้อมูลให้รอบด้านก่อนที่จะมีการกล่าวปราศรัยต่อกลุ่มคนเสื้อแดงเพราะการปราศรัยของจำเลยในฐานะแกนนำดังกล่าวย่อมเป็นข่าวออกไปและส่งผลกระทบต่อโจทก์ รวมทั้งสังคมอย่างกว้างขวาง หรือถ้าหากจำเลยต้องการที่จะกล่าวปราศรัยถึงเหตุการณ์ความไม่สงบที่กระทรวงมหาดไทย จำเลยก็อาจกล่าวอ้างว่าได้ข้อมูลมาอย่างไร การกล่าวลักษณะไม่ยืนยันข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลของโจทก์เป็นผู้จัดฉากสร้างสถานการณ์กลุ่มคนเสื้อแดงทุบรถของโจทก์ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง โดยจำเลยก็ไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะยืนยันว่ารัฐบาลของโจทก์จัดฉากสร้างสถานการณ์ขึ้นโดยโจทก์ไม่ได้อยู่ในรถคันเกิดเหตุที่กระทรวงมหาดไทย จึงเป็นกรณีเลือกเชื่อที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงเฉพาะส่วนนี้มาใส่ความโจทก์เพื่อหวังผลทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการเชื่อโดยสุจริต ดังนั้น การกล่าวปราศรัยของจำเลยไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนเอง หรือมีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 วรรคหนึ่ง
เมื่อฟังได้ว่าไม่ได้แสดงความเห็นโดยสุจริตแล้ว การกระทำย่อมไม่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามโจทก์ฟ้อง
หลังฟังคำพิพากษาศาลฎีกา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ควบคุมตัวนายจตุพรไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯตั้งแต่วันนั้น
2. เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2560 ศาลอาญา ถนนรัชดา อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท
คราวนี้ เป็นกรณีนายจตุพรขึ้นเวทีชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 11 และ 17 ต.ค.2552 ปราศรัยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ ในทำนองว่าประวิงเวลาในการทำความเห็นเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร ตามที่กลุ่ม นปช.ร่วมกันลงชื่อถวายฎีกา รวมทั้งกล่าวหานายอภิสิทธิ์ ทำนองเป็นผู้สั่งฆ่าประชาชนระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ช่วงต้นปี 2552
คดีนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำคุกนายจตุพร ฐานหมิ่นประมาท 2 กระทง กระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี ไม่รอการลงโทษ
ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 2 ปี ไม่รอการลงโทษ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง แต่การนำสืบในชั้นฎีกามีประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงพิพากษาแก้ให้ลดโทษจำเลยลงกระทงละกึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน รวม 2 กระทง เป็น 12 เดือน
เท่ากับว่า เป็นโทษจำคุกจากอีก 1 คดี ที่ต้องนับเพิ่มเข้าไปจากเดิม
3. อันที่จริง ยังมีอีกหลายคดีที่นายจตุพรได้พูดใส่ร้ายหมิ่นประมาทผู้อื่น แล้วคดีถึงที่สุดโดยคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว เช่น
เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2560 ศาลแขวงพระนครใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีดำ 611/2553 ที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท
กรณีจำเลยแถลงข่าวเกี่ยวกับการคัดค้านการก่อสร้างอาคารศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน สาขาปาย โดยใส่ร้ายทำนองว่านายกอร์ปศักดิ์คัดค้านการก่อสร้างเพราะมีธุรกิจท่องเที่ยว มีผลประโยชน์ทับซ้อนแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน แล้วยังกล่าวหาว่าโจทก์ทำสัญญาให้คนต่างชาติชาวอังกฤษเช่าบ้านเดือนละ 450,000 บาทแต่ทำด้วยความไม่สุจริต หลีกเลี่ยงการเสียภาษีในอัตราสูง โกงค่าไฟฟ้าคนต่างชาติชาวอังกฤษ ทั้งหมดล้วนเป็นเท็จ
สุดท้าย ศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกนายจตุพร 3 เดือน รอลงอาญา 2 ปี เป็นต้น
4. จะเห็นได้ว่า ศาลยุติธรรมได้ให้ความยุติธรรมแก่นายจตุพรอย่างถึงที่สุด
ให้โอกาสต่อสู้ พิสูจน์ความจริง มาโดยตลอด
แต่สุดท้าย ความจริงปรากฏว่า ที่นายจตุพรปราศรัยใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ไปนั้น ไม่เป็นความจริง และเป็นการหมิ่นประมาท
ไม่มีใครไปกลั่นแกล้งนายจตุพรเลย
แต่นายจตุพรละเมิดคนอื่น
แล้วยังไม่นับว่า สิ่งที่นายจตุพรพูดได้ถูกนำไปขยายผล ฝังความเชื่อให้หมู่มวลชน จนเกิดความเกลียดชังในสังคม เกิดความแตกแยก จนยากจะแก้ไข กระทั่งปัจจุบัน
ถึงวันนี้ นายจตุพรใกล้จะพ้นโทษ จวนจะได้ออกจากเรือนจำแล้ว
หวังว่าจะสำนึกในการกระทำความผิด และไม่กลับไปมีพฤติกรรมดังเดิมอีก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี