ขณะที่ทั่วโลกกำลังชื่นชมความร่วมมือของนานาประเทศที่ให้การช่วยเหลือเด็กไทยในถ้ำหลวงและความสนใจของนักท่องเที่ยวต่อประเทศไทย กลับมีกระแสบางอย่างที่กำลังส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวไทย
จากกรณีการจัดการของเจ้าหน้าที่ไทยในเหตุการณ์เรือล่มที่จ.ภูเก็ต เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. เหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเสียชีวิตถึง 47 รายแล้ว ยังมีประเด็นที่เพิ่มขึ้นมาซ้ำเติมความไม่พอใจของชาวจีนจากการออกมาให้สัมภาษณ์ของรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงฯที่ออกมาพูดในทำนองว่า“ความสูญเสียของนักท่องเที่ยวชาวจีนเกิดขึ้นเพราะนักท่องเที่ยวจีนไม่ฟังคำเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยารวมถึงเข้ามาท่องเที่ยวกับทัวร์ผิดกฎหมาย” ซึ่งการสัมภาษณ์ทำให้เกิดเป็นกระแสที่วิพากษ์วิจารณ์ในสื่อของประเทศจีนกันอย่างกว้างขวาง แม้กระบวนการสอบสวนอุบัติเหตุครั้งนี้จะยังไม่แล้วเสร็จแต่ความไม่พอใจคำสัมภาษณ์ได้ส่งผลแล้วต่อภาพลักษณ์ของประเทศโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่หลายฝ่ายประเมินว่าอาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวจีนมีจำนวนลดลง ซึ่งจีนถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยปัจจุบันเมื่อเทียบจำนวน
นักท่องเที่ยวกับชาติอื่นๆ
สิ่งที่ต้องกังวลต่อเรื่องนี้ เพราะในช่วงหลังมานี่กงล้อเศรษฐกิจไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้นเนื่องจากตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา เราประสบปัญหาวิกฤติส่งออกที่ซบเซาลงเรื่อยๆ
ทั้งในส่วนสินค้าเกษตรอย่างข้าวและอุตสาหกรรมอื่นๆ ส่งผลโดยตรงต่อการชะลอตัวของจีดีพี ประกอบกับปัญหาทางการเมืองในประเทศในห้วง 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงความไม่ชัดเจนอนาคตการเมืองก็ส่งผลต่อการถอนการลงทุนของต่างชาติไม่น้อยรวมถึงการชะลอของทุนใหม่ที่จะเข้ามา ดังนั้น การดึงนักลงทุนจากต่างชาติมาลงทุนในประเทศ จึงนับว่ายังเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของเศรษฐกิจประเทศและถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรีบทำในสถานการณ์ปัจจุบัน
ตัวเลขจีดีพีที่รองนายกฯด้านเศรษฐกิจมักออกมาพูดบ่อยครั้งว่าดีขึ้นแล้ว แต่ในความเป็นจริงปากท้องของประชาชนในระดับกลางจนถึงล่างยังคงมีสภาพที่ยากลำบาก โดยอัตราหนี้ครัวเรือนยังพุ่งสวนทางจีดีพีสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ เงินที่มากขึ้นตามที่รองนายกฯพูดแท้จริงกลับกระจุกตัวของรายได้อยู่แต่กลุ่มนักธุรกิจรายใหญ่ไม่กี่ตระกูลหรือไม่? ขณะที่มุมมองของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาหาความยากจนของประชาชนระดับฐานรากมุ่งเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจกรอบต่างๆ ที่แยกขาดจากการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าที่แท้จริงของประเทศ บอกว่าจะปฏิรูปประเทศแต่ยังไม่มีนโยบายวิจัยและพัฒนาอาชีพฐานรากของประชาชน มีแต่นโยบายกลุ่มประชารัฐร้านค้าประชารัฐจนล่าสุดมาลงทะเบียนคนจนก่อนจะออกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งทั้งหมดล้วนมีเป้าประสงค์ที่จะแก้ปัญหาในระดับรากฐานก็จริงแต่ล้วนเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นและยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าของประเทศ จึงเป็นที่มาของการพยายามดึงการลงทุนจากต่างชาติเพื่อให้เม็ดเงินไหลเข้าประเทศ
แนวคิดเรื่องการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐที่ผ่านมาเป็นการลงทุนร่วมในรูปแบบรัฐกับเอกชนตลอดจนถึงร่วมต่างชาติ หลายนโยบายเป็นนโยบายที่ดีและมีวิสัยทัศน์ แต่หากแนวทางการปฏิบัติตลอดจนทัศนคติของผู้ปฏิบัติ โดยเฉพาะรัฐบาลนี้ที่ทั้งทีมบริหารและทีมปฏิบัติที่มีแต่ข้าราชการอาวุโส ทำให้นอกจากกระบวนการจะล่าช้ากว่าปกติแล้ว ก็อาจก้าวตามไม่ทันความก้าวหน้าของการ
ลงทุนสมัยใหม่ด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวลว่ารัฐจะได้ประโยชน์ไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะได้สูงสุดและยังอาจเสี่ยงต่อการเปิดช่องทางกฎหมายให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ที่เกินกว่าที่เรากำหนดไว้
โครงการใหญ่ที่ดูน่าสนใจอย่างโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติก็รอกันอย่างใจจดใจจ่อกับโครงการนี้ไม่ว่าจะเป็นการทุ่มงบประมาณโครงการสนามบินอู่ตะเภาขยายต่อท่าเรือแหลมฉบังและรถไฟความเร็วสูงที่จะเริ่มก่อนใครในประเทศโดยจะมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3 สนามบิน แต่เอาเข้าจริงยังจำกันได้หลายโครงการใน EEC ล้วนแต่เป็นการปะติดปะต่อโครงการที่คิดริเริ่มในรัฐบาลสมัยก่อนหน้าสองสามรัฐบาลที่บางส่วนผ่านกระบวนการอนุมัติหรือแม้แต่ทำ EIA มาแล้วข้อสังเกตต่อความสุ่มเสี่ยงในความไม่รัดกุมจากการเร่งรีบโครงการในหลายมาตราของพ.ร.บ. EEC ที่ทิ้งข้อสังเกตให้ชวนคิดมากขึ้นว่า พลาดหรือจงใจให้เป็นเช่นนั้นอย่างในมาตรา 52วรรค 2 แห่ง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต่างชาติสามารถเช่าที่ดินได้นานถึง 50 ปี และอาจต่อสัญญาเช่าได้อีก 49 ปี ซึ่งดูจะคล้ายคลึงกับนโยบายที่รัฐบาลระบอบทักษิณก็เคยเสนอกฎหมายทำนองนี้มาแล้วใช่หรือไม่? ก่อนจะโดนต่อต้านและล้มเลิกไปในที่สุด
จึงเป็นคำถามว่า ตกลงแล้วโครงการนี้ทำขึ้นมาเพื่อใครมีการรวบเอาโครงการลงทุนของรัฐที่ต้องทำอยู่แล้วมาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ กระบวนการที่เร่งรีบ และความกังวลต่อการดึงนักลงทุนต่างชาติอย่างมากจึงทำให้กฎหมายที่ออกมารัดกุมหรือไม่? ซึ่งความไม่รัดกุมดังกล่าวอาจส่งผลลบต่อคนในพื้นที่และประชาชนโดยทั่วไปที่อาจจะได้ประโยชน์เพียงการจ้างงานซึ่งเศรษฐกิจในพื้นที่ก็อาจไม่ได้อย่างที่คิดและยังไปลิดรอนสิทธิประโยชน์ดั้งเดิมอีกด้วย
ดังนั้นหากกฎหมายใหม่ยังไม่สมบูรณ์และกระบวนการต่างๆ ยังไม่พร้อมที่จะรับมือทุนข้ามชาติได้จริงประเทศไทยก็อาจต้องเสียค่าโง่ให้กับต่างชาติหรือไม่?
เพราะด้วยงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซีไม่ใช่งบน้อยรวมไปถึงเรื่องที่ดินและการใช้ประโยชน์จากการให้สิทธิประโยชน์ด้านที่ดินสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนการให้สิทธิประกอบอาชีพคนต่างชาติในไทยที่สุดท้ายไม่รู้ว่าจะได้คุ้มเสียหรือไม่สิ่งสำคัญคือ การประชาสัมพันธ์ที่คนไทยยังไม่รู้โดยเฉพาะคนพื้นที่จึงอดคิดไม่ได้ว่าสุดท้ายใครได้ประโยชน์หรืออาจมีเพียงกลุ่มทุนบางกลุ่มเท่านั่นหรือไม่?
ความไม่ชัดเจนและดูแปลกๆ ของโครงการลงทุนต่างๆ ของรัฐบาลชุดนี้มองได้สองอย่าง
อย่างแรกคือความอ่อนด้อยประสบการณ์เข้าไม่ถึงความก้าวหน้าของการลงทุนสมัยใหม่? หรืออาจมองอีกแบบได้ว่าเป็นการคิดและทำของคนไม่กี่คนเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนสนับสนุนไม่กี่กลุ่มหรือไม่? การเปิดช่องว่างดึงนักลงทุนต่างชาติที่สุดท้ายอาจมีลงทุนไทยที่ร่วมไม่กี่รายที่เข้าถึงเท่านั้นหรือไม่? ผลสุดท้ายอาจจะละเลยธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจขนาดใหญ่และไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนสนับสนุนใช่หรือไม่?
อย่างการเข้ามาของนักธุรกิจต่างชาติผ่านการเปิดบริษัทที่มีนักธุรกิจไทยเป็นนอมินีในขณะนี้ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญที่มีเจ้าของเป็นคนจีนที่ทำกันเป็นวงจรตั้งแต่บริษัทรถทัวร์ร้านอาหารร้านของฝากโดยที่คนไทยจริงๆ ได้เงินจากนักท่องเที่ยวน้อยมากหรือแม้กระทั่งไกด์ทัวร์ก็เป็นคนจีนเสียเองเพียงแต่จ้างไกด์คนไทยไปยืนคุมและหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ
ดังนั้นเงินที่ได้จากการท่องเที่ยวจริงๆ ตกถึงคนไทยไม่กี่บาทกรณีเรือนักเที่ยวจีนล่มที่จังหวัดภูเก็ตจะโยนให้เป็นความผิดของเจ้าของธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับก็ไม่ได้ เพราะรัฐก็ไม่ได้ควบคุมมาตั้งแต่เริ่มซึ่งหมายความว่า ภาครัฐก็รับรู้มาโดยตลอดแต่ก็ยังไม่มีการจัดการอย่างจริงจังหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ด้วยหรือไม่?
นอกจากนี้ในห้วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรไทยถูกเอารัดเอาเปรียบโดยล้งจีนที่เข้ามารับซื้อผลไม้ปริมาณมากๆ แต่กดราคาซึ่งเกษตรกรรายย่อยเหล่านี้ก็ไม่มีความสามารถในการต่อรอง รัฐบาลจึงควรเข้ามาเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเจ้าของธุรกิจเหล่านี้มากยิ่งขึ้น
กลับมาที่ด้านการท่องเที่ยวไทยที่ดูเหมือนจะเป็นทางออกให้กับภาคเศรษฐกิจไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะด้วยต้นทุนทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีอยู่และน่าจะเป็นภาคเศรษฐกิจหนึ่งที่สามารถกระจายรายได้ให้กับประชาชนได้กว้างขวางดังนั้นหากภาครัฐให้ความสำคัญและจริงจังกับการจัดการระบบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นอกจากจะส่งผลดีให้กับการท่องเที่ยวแล้วหากวางแผนดีๆ ก็อาจทำให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมและเงินถึงมือประชาชนจริงๆด้วย? ซึ่งการปรามปรามทัวร์ศูนย์เหรียญที่เป็นนโยบายแรกๆที่รัฐบาลคสช. จะทำแต่เหตุใดยังมีหลุดรอดมาถึงปัจจุบัน เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยวโดยตรงที่ต้องมีปราบปรามอย่างเด็ดขาด ซึ่งก็เห็นตามหน้าสื่อว่าที่ผ่านมารัฐก็ได้มีการปราบปรามสิ่งผิดกฏหมายอย่างขยันขันแข็ง ไม่ว่าจะเป็นการพนันออนไลน์มาเฟียเด็กแว้นพ่อค้ายาซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีแต่เหตุใดมาเฟียในภาคการท่องเที่ยวจึงยังจัดการไม่ได้ จนในที่สุดเรื่องได้บานปลายไปสู่ผลกระทบเรื่องความปลอดภัยนักท่องเที่ยวอย่างกรณีเรือล่มขึ้นได้?
อะไรที่อยู่เบื้องหลังการไม่เข้าจัดการธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญกันแน่?
นอกจากนี้ก็ควรมีการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเพื่อรองรับตลาดท่องเที่ยวที่มีความต้องการที่แตกต่างกันจากทั่วโลกเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดและได้เม็ดเงินเข้าประเทศเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยปัจจุบันพบว่ามีการไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 14 ล้านคน ในปี 2560 เป็น 16 ล้านคน ในปี 2561 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งถือเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อและพร้อมจะจับจ่ายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ในด้านนโยบายไทยก็ยังไม่มีการจัดการท่องเที่ยวที่ตอบสนองเฉพาะกลุ่มมากเท่าที่ควร ซึ่งปัญหาของไทยไม่ได้อยู่ที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาต่อปี แต่อยู่ที่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในประเทศไทย
ดังนั้นสิ่งที่ต้องคิดนโยบายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเหล่านี้ให้อยู่นานขึ้น เพื่อสร้างการจับจ่ายในประเทศให้มากขึ้นและกระจายการท่องเที่ยวไปสู่เมืองต่างๆ นอกจากจะเป็นการพัฒนาด้านธุรกิจการท่องเที่ยวแล้วหากแต่ยังเป็นการกระจายรายได้สู่ชนบทอีกด้วยดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือการพัฒนาผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะรายย่อย และชุมชนตามแหล่งท่องเที่ยวให้รู้จักการสร้างรายได้อย่างถูกวิธีโดยไม่เป็นเหยื่อของทุนใหญ่
ตอนนี้จบไตรมาสสองผ่านมาครึ่งปีแล้วแต่เศรษฐกิจภาคประชาชนก็ยังไม่มีวี่แววจะฟื้นตัวแม้จะมีการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งเมกะโปรเจกท์และเศรษฐกิจฐานรากโครงการต่างๆ แต่ด้วยความที่รัฐบาลทหารที่อาจเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงมากกว่าการบริหารเศรษฐกิจ ประกอบกับมือไม้ที่เลือกใช้ล้วนเป็นคนดีคนเก่งในภาคราชการที่ห่างไกลจากการรับรู้ปัญหาที่แท้จริงของประชาชนโดยเฉพาะประชาชนระดับฐานราก ตลอดระยะเวลา 4 ปี ซึ่งนี่อาจถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านส่งไม้ต่อสู่รัฐบาลที่มาจากประชาชนเพื่อรับช่วงแก้ปัญหาประชาชนสู่การพัฒนาระดับฐานรากอย่างจริงจัง..
“..คนปากมากย่อมถูกผู้อื่นชิงรังเกียจเสมอ..”
คำคมโกวเล้งจากเรื่องดาบจอมภพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี