เหตุการณ์เรือฟินิกซ์ล่มที่จังหวัดภูเก็ต ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเสียชีวิต 47 ศพ คือ ยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมาประจานความเลวร้ายเพราะความเห็นแก่ได้ของคนไทยที่เป็นนอมินีต่างชาติ กับหน่วยงานที่มีอำนาจออกใบอนุญาตและกำกับผู้ประกอบการ ที่ถูกผลประโยชน์บังตานำมาซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจ สังคมชื่อเสียงของประเทศชาติ
ความเห็นแก่ได้ ทำให้คนไทยยอมเป็นนอมินีให้ทั้ง ชาวรัสเซีย อังกฤษ อิสราเอล จีน ฯลฯ แต่ชาวตะวันตก มักใช้คนไทยเป็นนอมินีให้ในธุรกิจจำเพาะ ซึ่งต่างกับชาวจีนที่ใช้คนไทยเป็นนอมินี ในบ้านเราชาวจีนใช้คนไทยเป็นนอมินี ในภาคธุรกิจท่องเที่ยว ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม ตั้งแต่การปลูกกล้วย จนถึงนำเข้าขยะมารีไซเคิล ประเทศจีนเคยนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติกเก่า และเศษเหล็กจากยุโรป-อเมริกาปีละกว่า 50 ล้านตัน ตั้งแต่จีนยกเลิกนำเข้าขยะ นักฉวยโอกาสชาวจีนที่รู้ล่วงหน้าเปลี่ยนสถานที่แปรรูปขยะมาเป็นประเทศไทย จ้างคนไทยเป็นเจ้าของโรงงานแปรรูปขยะบังหน้า ตั้งแต่ปลายปี 2560 เป็นต้นมาขยะจากยุโรป อเมริกา นำเข้ามาแปรรูปทิ้งในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 1,000 ตัน
ในภาคเกษตร จีนใช้คนไทยเป็นนอมินี ปลูกกล้วย ปลูกลำไยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกและภาคใต้ชาวจีนเปิดล้ง ซื้อขายผลไม้ทุเรียน มังคุด เงาะ ฯลฯ ที่ชาวสวนจันทบุรีถูกโกงไปแล้วกว่า 200 ล้านบาทในบางพื้นที่นอมินีจีนทำสัญญาเช่าเหมาสวนทุเรียนระยะเวลา 5 ปี โดยผู้เช่าบริหารจัดการใส่ปุ๋ยเคมีใช้ยาปราบหญ้า หลายปีผ่านไปดินสวนเสียหายปลูกพืชอะไรไม่ได้อีกเลย บางพื้นที่ในภาคใต้โดยเฉพาะที่หมู่ 11ตำบลบางมะพร้าว อ.หลังสวน จ.ชุมพร นายทุนชาวจีนใช้นอมินีคนไทยเช่าที่ดินระยะยาวจากชาวบ้าน ทำโรงงานต้มปลาถึง 10 โรง
ลูกปลาขนาดเล็ก (เท่านิ้วก้อย) ถูกลำเลียงมาจากหลายจังหวัด เพื่อต้มสุกตากแห้งส่งไปประเทศจีนเดือนละเป็นร้อยๆ ตัน การต้มปลาที่ต้องใช้ฟืนเป็นพันๆ ตันการตัดไม้ทำฟืนขายโรงงานต้มปลา ทำกันครึกโครม น้ำเสียถูกปล่อยลงทะเลและแหล่งน้ำธรรมชาติทำลายระบบนิเวศน์ ชาวบ้านร้องเรียนอุตสาหกรรมจังหวัด ประมงจังหวัด ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่หลังจากห้าปีผ่านไปธรรมชาติแก้ไขปัญหาเอง เพราะหลังจากผลาญพร่าย่างมโหฬารปลาเล็กปลาน้อยร่อยหรอลงไป โรงงานที่เคยต้มทั้งวันทั้งคืนลดเหลือ 2-3 วันต้มครั้ง อุตสาหกรรมต้มปลาคาดว่าจะปิดตายในไม่ช้า
นอกจากอุตสาหกรรมต้ม(ลูก)ปลา อุตสาหกรรมขยะอันตราย ที่จีนใช้นอมินีไทยแล้ว ในภาคใต้ประเทศไทยจีนใช้นอมินีไทย ล้างสมองชาวบ้านให้สนับสนุนอภิโครงการอ้างเพื่อพัฒนาเรียกว่า “โครงการ คลองไทย” โครงการนี้จีนใช้นอมินี ตั้งแต่นายพลนอกราชการ นักวิชาการ สื่อมวลชนจนถึงคนรากหญ้า ให้พวกบ้าเงินหยวนชวนกันขุดแผ่นดินไทย คลองไทยเป็นโครงการใหญ่ ที่จีนทุ่มทุนมหาศาลประชาสัมพันธ์ อ้างว่าทำการศึกษาตั้งแต่ยุครัฐบาลไทยรักไทย และนำมาปัดฝุ่นเคลื่อนไหวปลายยุคเพื่อไทย
ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา นายพลนอกราชการ อดีตรองผู้ว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาตำบลนักวิชาการ สื่อมวลชนเคลื่อนไหวทำโฆษณาชวนเชื่อ ผลักดันให้รัฐบาลรับอภิโครงการที่เรียกว่า “คลองไทย” ไว้พิจารณาศึกษา ถึงความเป็นไปได้ที่จะขุดแผ่นดินไทยให้เป็นคลองขนาดใหญ่ เพื่อใช้เป็นเส้นทางเดินเรือสินค้าเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย โดยอ้างผลการศึกษาว่าถ้าขุดแผ่นดินให้เป็นร่องน้ำเค็มจะนำรายได้เข้าประเทศมหาศาล คนไทยจะมีงานทำ มีกิจการค้าขาย มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ตามมาอีกเหลือคณานับ
แต่ที่น่าแปลกใจเงินที่ใช้ปลุกระดมล้างสมองคนไทยได้มาจากนายทุนชาวจีน ที่อ้างว่าเป็นงบศึกษาโครงการ นอมินีไทยที่รับงานทำประชาสัมพันธ์ไม่รู้ว่าเงินที่ใช้เลี้ยงดู ใช้จัดสัมมนาทางวิชาการ ใช้เป็นเบี้ยเลี้ยงตลอดถึงนำสื่อและผู้เกี่ยวข้องไปเที่ยวไปดูงานต่างประเทศมาจากแหล่งไหนบริษัทใดเป็นผู้จ่าย ที่สำคัญตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา บริษัทจีนที่เป็นนายทุนเป็นเจ้าของโครงการ ยังไม่ได้ลงสำรวจเส้นทางภาคบนพื้นดินแม้แต่ครั้งเดียว แต่ในวงวิชาการ ในวงสัมมนา ผู้นำชุมชนกลับมีรายละเอียดว่า คลองยาว 135 กม. กว้าง 400-500 เมตรผ่านพื้นที่ 4 จังหวัด คือ กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช และสงขลา มีผู้ได้รับผลกระทบราว 1.2 แสนคน ชาวตรังจะได้รับผลกระทบมากที่สุดประมาณ 74,000 คน เพราะคลองจะผ่าน 4 อำเภอ คือสิเกา วังวิเศษ ห้วยยอด และ รัษฎา ใน 14 ตำบล 132 หมู่บ้าน จ.กระบี่ นครศรีฯ และ สงขลา ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพราะแนวคลองติดชายขอบจังหวัด
นอมินีจีน ล้างสมองชาวบ้านให้เห็นผลประโยชน์ที่จะได้ จากการเวนคืนที่ดิน มีงานทำ ได้ค้าขาย แต่ไม่พูดความจริงว่าขุดคลองได้ทำงานอะไร ถ้าค้าขายอะไรตรงไหน ประเทศชาติได้อะไร ในเมื่อใช้เงินจีนตั้งแต่งบประชาสัมพันธ์โครงการ จนถึงขุดคลอง โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ
ดังนั้นเมื่อแล้วเสร็จโครงการสัมปทานต้องเป็นของจีน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับทัวร์ศูนย์เหรียญ โรงงานแปรรูปขยะ ฯลฯ ดังที่นายนพนันท์ อรุณวงศ์ ณ อยุธยา อาจารย์มหาวิทยาลัยจิงเม่า ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊ค ..ว่า “คนจีนในกรุงปักกิ่งจับกลุ่มคุยกันเรื่องเรือล่มที่ภูเก็ต เพื่อนคนจีนคนหนึ่งซึ่งเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านก็ยกเลิกจะพาครอบครัวไปเที่ยวภูเก็ตในเดือนหน้า ผมไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องนี้ เพราะพูดทีไรก็จะมีสารพัดคนเข้ามาโต้ตอบว่า ก็คนจีนทำกันเอง กินรวบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทัวร์ศูนย์เหรียญ คนไทยไม่ได้อะไร ฯลฯ... แต่ครั้งนี้มีความเสียหายใหญ่หลวงเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะกับการท่องเที่ยวไทย ผมจึงขอพูดอะไรสักนิด...
ทุกประเทศ ย่อมมีคนที่พยายามหาช่องทางหากิน สำคัญที่เราต้องมีกฎหมายที่รัดกุม และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เราไปโทษเขาไม่ได้หรอก เพราะเราคือเจ้าของประเทศ แต่เราไม่ดูแลบ้านของเราเอง ความรับผิดชอบอยู่กับเราเต็มๆ ผมอยู่เมืองจีนผมมีวีซ่าระยะยาว แต่แค่เปิดร้านกาแฟ ผมก็ยังไม่กล้าทำ เพราะผิดจากวัตถุประสงค์ที่ผมได้รับอนุญาตให้อยู่ในเมืองจีนโดยรัฐบาลจีน แม้ผมอยากจะใช้นอมินีคนจีนแทน ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะมีหน่วยงานจีนคอยตรวจสอบยุบยับ เข้าเยี่ยมถึงสำนักงานและบ้านพักอาศัยเป็นประจำ สำหรับเรื่องจ่ายเงินใต้โต๊ะนั้นเลิกคิดได้เลย มีแต่จะหาคุกจีนใส่ตัวเพิ่มเข้าไปอีก แม้กระทั่งนักศึกษาต่างชาติ มีวีซ่านักเรียน แค่เปิดร้านขายของออนไลน์บน taobao พอทำไปสักพัก..ก็ถูกจับ ถูกยึดสินค้า ถูกจับขังแล้วเนรเทศ ตรงกันข้าม ในเมืองไทย คนจีนสามารถเปิดร้านขายของกันได้หน้าตาเฉย ทำได้แม้แต่เปิดบริษัทห้างร้านโดยใช้คนไทยบังหน้า จ้างลูกจ้างคนจีนกันโครมๆ สร้างเรือนำเที่ยว พานักท่องเที่ยวออกทะเลกลางพายุกันได้อีกต่างหาก ทั้งหมดนี้ทำได้ยังไง ทำด้วยวีซ่าอะไร มี work permit กันหรือไง หรือว่ามีแค่วีซ่าท่องเที่ยว แต่ทำทุกอย่างได้เสมือนคนไทยกันอย่างเอิกเกริก...
ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท้องที่ ฝ่ายปกครองท้องถิ่น สรรพากร ฯลฯ หน่วยงานราชการของเราที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทำอะไรกันอยู่ ไม่ต้องคิดมากก็เดาได้ว่าต้องมีการรับส่วยส่งส่วยกัน ไม่งั้นไม่มีทาง คนจีนกำลังไม่พอใจ ลามเป็นไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าจะลุกลามกันไปถึงไหน นักท่องเที่ยวจีนปีละสิบกว่าล้านคน มูลค่าธุรกิจการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวจีนเหล่านี้ปีละนับแสนล้านบาท ก็อาจมีปัญหา ต่อให้เขารู้ว่าเป็นพวกคนจีนด้วยกันแอบมาทำกันเองในเมืองไทย เขาก็คาดหวังว่าประเทศไทยจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดเหมือนอย่างที่ประเทศจีนทำ ไม่ใช่พูดทำนองว่า สมควรแล้ว ก็พวกคนจีนทำกันเอง คำพูดอย่างนี้เมื่อออกจากปากผู้บริหารประเทศระดับรองนายกฯ ก็ยิ่งไปกันใหญ่..อ.นพนันท์ สรุปไว้ว่า ถ้ายังแก้ปัญหาข้าราชการรับส่วยไม่ได้ยุค คสช. ก็อย่าหวังแก้ปัญหาในรัฐบาลประชาธิปไตย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี