วันเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 รัฐบาล คสช.ภายใต้การนำของ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็ก้าวพ้นปีที่ 4 ของการบริหารประเทศมาสู่ปีที่ 5 และใกล้จะไปถึงปีที่ 6 ในปี 2562 ที่ได้ประกาศไว้ว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 25 ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี 2560 โดยลุงตู่จะเป็นนายกรัฐมนตรีครบวาระ 4 ปีในวันที่ 30 สิงหาคม 2561 นี้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ธนาคารพัฒนาเอเชียได้เผยรายงานครึ่งปี 2561ว่า เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิกในปี 2561 และ 2562 ยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งทั่วทั้งภูมิภาค ถึงแม้ว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้าคือจีนกับประชาคมเศรษฐกิจยุโรปจะเพิ่มมากขึ้น
แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียปี 2561 ได้คาดการณ์การเติบโตของเอเชียและแปซิฟิกในอัตราร้อยละ 6 ในปี 2561 และปี 2562 จะใกล้เคียงกันในอัตราร้อยละ 5.9 เศรษฐกิจของชาติอุตสาหกรรมใหม่ซึ่งได้แก่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวันจะอยู่ในอัตราเติบโตร้อยละ 6.5 และร้อยละ 6.4
นายยาซูยูกิ ซาวาดะ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของธนาคารพัฒนาเอเชียชาวญี่ปุ่นได้เผยว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการคลังอย่างระมัดระวังจะช่วยให้เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียพร้อมรับมือกับความผันผวนจากปัจจัยภายนอกได้ซึ่งส่งผลให้การเติบโตของภูมิภาคยังคงแข็งแกร่งต่อไป จีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกจะเติบโตได้ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 6.6 ในปี 2561 และร้อยละ 6.4 ในปี 2562
กลุ่มประเทศในเอเชียใต้นำโดยอินเดียยังคงเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุด เศรษฐกิจอินเดียคาดว่าจะเติบโตได้ตามเป้าปีงบประมาณ 2561 ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7.3 และเติบโตเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 7.6 ในปี 2562 อันเป็นผลจากระบบการเงินที่เข้มแข็งขึ้นและการปฏิรูปภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนเช่นเดียวกับปากีสถานและบังกลาเทศนั้นภาคการเกษตรมีการเติบโตเกินความคาดหมายในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโต
สำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนยังเหมือนเดิมที่ร้อยละ 5.2 ในปี 2561 และ 2562 โดยอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งยังคงเป็นปัจจัยหลักช่วยสนับสนุนการเติบโตการลงทุนภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้นของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย และการลงทุนของเวียดนามได้ช่วยกระตุ้นการเติบโตในไตรมาสแรกของทุกประเทศส่วนของไทยนั้นได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจของไทยว่าจะเพิ่มจากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 4.2 ในปี 2561 ส่วนปี 2562 ได้แต่ยังคงประมาณการเศรษฐกิจของปี 2562 ไว้เหมือนเดิมที่ร้อยละ 4.1
ทางด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เผยว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังเป็นไปตามเป้าหมายซึ่งวางไว้ที่ 4.2% เศรษฐกิจระดับมหภาคฟื้นตัวดีขึ้นจากการประกอบการของธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งในระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลไม่ห่วงผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งต้องยอมรับว่า ผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีความสามารถอยู่แล้วในการบริหารธุรกิจให้มีผลประกอบการที่ดีและได้ขยายการลงทุนออกไปยังต่างประเทศในอาเซียน
รัฐบาลชุดนี้โดยกระทรวงการคลังได้เร่งเข้าไปช่วยเหลือโดยดำเนินการผ่านความช่วยเหลือด้านสวัสดิการคนจน ซึ่งได้ดำเนินการนับตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ได้เร่งสร้างงานสร้างอาชีพเพื่อให้คนจนมีรายได้พ้นเส้นความยากจน ซึ่งถือนโยบายที่ต้องเดินหน้าให้สำเร็จเรามีงบพัฒนาอาชีพไว้ 2 หมื่นล้านบาท หากงบดังกล่าวสามารถช่วยให้คนจนมีรายได้มากขึ้น เงินเหล่านี้ ก็จะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่ได้เป็นการแจกเงินที่ใส่ลงไปเท่าไรก็หายหมด
เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างเต็มศักยภาพกระทรวงการคลังจึงตั้งเป้าหมายที่จะทำกรอบนโยบายงบประมาณสมดุล ซึ่งทีมงานได้ทำตัวเลขไว้ว่า งบประมาณของไทยจะสามารถเข้าสู่จุดสมดุลได้ในอีก 10 ปี โดยรายได้ประชาชาติจีดีพีจะต้องขยายตัวได้ในระดับศักยภาพที่ร้อยละ 4 ต่อปี ไทยได้เตรียมพร้อมตัวเองหลายด้าน ความมั่นคงทางการคลังก็เพิ่มสูงขึ้น ค้าขายก็ได้กำไร ทำให้ทุนสำรองเพิ่มสูงขึ้น หนี้ต่างประเทศก็อยู่ในระดับต่ำแค่ 4% ของหนี้รวมหนี้สาธารณะนั้นจะสูงสุดที่ร้อยละ 48 ถึง 49 ในปี 2567
พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยคือรายได้จากการส่งออกในปีนี้ 2561 และปี 2562 มีการขยายตัวมากเพิ่มจากปี 2560 ถึงร้อยละ 10 ถึง 12 ขณะที่ไทยมีกองทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากกว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในอัตรา 33.25 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐยังไม่มีปัญหามากนักเกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น
การพัฒนาประเทศเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่มีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ดูแลต่อมาคือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มี นายกฤษฎา บุญราช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีนายอุตตม สาวนายน เป็นรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์มี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่มี นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ดูแลอยู่ โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจของไทยในสมัยรัฐบาล คสช.ก้าวไปโลด
ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพค่อนข้างต่ำอยู่ในระดับกลางๆ ของโลกทำให้มีชาวต่างชาติมาพำนักในไทยเป็นประจำถึง 4 ล้านคน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเศรษฐกิจไทยมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนอย่างแท้จริง
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี