การที่ครูไทยกลุ่มหนึ่งประกาศแบบไร้ยางอาย และไร้ความรับผิดชอบว่า จะบิดพลิ้วการชำระหนี้สินที่ตนเองจงใจก่อขึ้น คำประกาศดังกล่าวนับเป็นการประจานความสามานย์ของตัวเองให้สาธารณชนได้ประจักษ์อย่างชัดแจ้ง
เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นข่าวปรากฏชัดในสังคม ก็ทำให้สาธารณชนผู้มีความละอายพากันตั้งคำถามอย่างมากมายว่า เหตุใดครูไทยจำนวนไม่น้อยจึงมีหนี้สินมากมาย แล้วมีคำถามตามมาด้วยว่า ทำไมครูจำพวกที่ชอบก่อหนี้จึงไม่รู้จักประมาณตน ทั้งๆ ที่ครูเหล่านั้นมีเงินเดือน และมีสวัสดิการจากรัฐในระดับที่ถือได้ว่าค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่มีสถานภาพทางสังคมย่ำแย่กว่าครู
นายปรีชา เมืองพรหม นายกสมาคมพัฒนาครูไทย เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ปัญหาหนี้สินของครูเกิดมาจากครูบางรายไม่มีวินัยทางการเงิน ครูจำนวนหนึ่งเห็นว่าตนเองมีโอกาสกู้เงินจาก
โครงการสวัสดิการต่างๆ ได้ง่าย ก็พากันกู้โดยไม่ไตร่ตรองให้ดีว่าจำเป็นต้องกู้หรือไม่ ครูจำนวนไม่น้อยกู้เงินจากโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. (โครงการสวัสดิการเงินกู้กองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา) ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) โดยกู้เงินกับธนาคารออมสิน (จำนวนครูที่กู้เงินจากโครงการนี้มีมากกว่า 6 หมื่น 5 พันคน วงเงินรวม 4 แสน 7 หมื่นล้านบาท)
เมื่ออ้างอิงจากสถิติของกระทรวงศึกษาธิการตั้งแต่ปลายปี 2558 พบว่าครูและบุคลากรทางการศึกษาของไทยมีหนี้สินรวมประมาณ 1 ล้าน 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สินที่กู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู และกู้จากแหล่งอื่นๆ มากกว่า 7 แสนล้านบาท และยังมีหนี้ที่กู้จากธนาคารออมสินผ่านโครงการ ช.พ.ค. อีกจำนวน 4 แสน 7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับหนี้ที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นจำนวนมากกู้จากแหล่งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งยังไม่มีใครสามารถระบุสถิติเงินกู้หนี้นอกระบบได้ชัดเจน แต่ประมาณกันว่าจะมีตัวเลขสูงกว่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณแผ่นดิน หรืออาจจะสูงกว่า 2 ล้านล้านบาท
มีคำถามเหมือนเดิมว่า ทำไมครูของไทยจำนวนไม่น้อยจึงได้จงใจก่อหนี้สินมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้
หลายสิบปีที่ผ่านมา มีแนวคิดพยายามแก้ไขปัญหาหนี้สินครูมาโดยตลอด อาทิ การจัดตั้งธนาคารครู แต่สุดท้ายแล้วแนวคิดดังกล่าวก็ไม่สามารถเกิดผลเป็นรูปธรรม เพราะติดขัดเรื่องแหล่งเงินที่จะใช้จัดตั้งธนาคาร นอกจากนี้ยังมีแนวคิดให้นำหนี้สินทั้งหมดของครูทั้งประเทศไปรวมไว้ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเพียงแห่งเดียว แล้วให้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ แล้วจะให้รัฐบาลเข้าไปช่วยดูแล โดยจะให้งดเว้นการคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นระยะเวลา 3-5 ปี โดยให้รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน แต่สุดท้ายแนวคิดนี้ก็ไม่สำเร็จ เพราะไม่สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ต่ำเหมือนที่ต้องการได้ นอกจากนี้ยังติดขัดในเรื่องอำนาจการบริหารภายในสหกรณ์ออมทรัพย์ครูแต่ละจังหวัดที่มีสถานะเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542
ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดอื่นๆ อีกมากมายเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของครู เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จาก 6-7 เปอร์เซ็นต์ ให้เหลือ 1-2 เปอร์เซ็นต์ หรือสูงสุดไม่เกิน 4-5 เปอร์เซ็นต์ หรือขอเงินเบี้ยประกันคืนจากสัญญาเงินกู้ที่ทำกับธนาคารออมสินซึ่งครูได้ทำสัญญาผ่านโครงการช.พ.ค. หรือปรับโครงสร้างหนี้ให้กับครูที่เกษียณราชการ หรืองดเก็บดอกเบี้ยครูที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป และให้ฟื้นกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง เพื่อนำไปใช้หนี้แทนครูที่มีความจำเป็นผู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ รวมถึงการขอคืนเงินเดือนครูจำนวนครึ่งหนึ่งจากโครงการเงินกู้สวัสดิการ ช.พ.ค. และยังมีแนวคิดพักหนี้ทั้งต้นและดอก เป็นระยะเวลา 10 ปี รวมถึงจะขอให้รัฐบาลออกตราสารหนี้เพื่อรับซื้อหนี้สินของครูเอาไว้
คุณผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมครูจำนวนไม่น้อยจึงก่อหนี้ ก่อสินกันมากมาย มีบางคนตั้งข้อสังเกตว่า เพราะผู้ให้กู้มองเห็นว่าครูคือข้าราชการที่มีเงินเดือนประจำ มีอาชีพที่มั่นคง ดังนั้น จึงอนุมัติเงินกู้ให้ครูได้โดยง่าย มีบางรายวิจารณ์ว่า เพราะครูกู้หนี้ยืมสินง่าย โดยผู้ให้กู้ก็ไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าครูมีหนี้สินเดิมอยู่แล้วจำนวนมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะจากสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ที่ให้ครูกู้โดยไม่ตรวจสอบสถานะการเงินของครูก่อนอนุมัติเงินกู้ให้ ทั้งๆ ที่ครูบางคนมีเงินเดือนเหลือในแต่ละเดือนเพียงไม่ถึง10-15 เปอร์เซ็นต์จากยอดเงินเดือนทั้งหมด ก็ยังสามารถกู้เงินเพิ่มเติมได้ มีข้อมูลบางกระแสบอกว่า ครูบางรายเข้าใจผิดว่าการกู้เงินจากโครงการ ช.พ.ค. มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ค้ำประกันดังนั้นหากครูที่เป็นผู้กู้ไม่ชำระเงิน กระทรวง จะเป็นผู้รับผิดชอบให้โดยธนาคารออมสินจะไปหักเงินจากกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง จึงทำให้ครูจำนวนมากคิดว่ากู้แล้วไม่ต้องชดใช้ แถมยังกระจายข่าวผิดๆ ในแวดวงของครู โดยชักชวนให้ไปกู้เงินจากโครงการ ช.พ.ค. กันทุกคน
มีคำถามที่น่าคิดอีกข้อหนึ่งคือ เหตุใดหน่วยงานที่ดูแลด้านสวัสดิการของครู ในกระทรวงศึกษาธิการจึงไม่พยายามลดการก่อหนี้สินของครู แต่กลับดูเสมือนพยายามส่งเสริมให้ครูสร้างหนี้สินมากกว่า มีคำถามตามมาอีกว่า ทำไมไม่มีหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการที่พยายามส่งเสริมให้ครูพัฒนาการออมให้มากขึ้น แต่เท่าที่ทราบคือสมาคมพัฒนาครูไทยพยายามจะรณรงค์ให้ครูเก็บออมเงินอย่างน้อยเดือนละ 1,500 บาท ถ้าหากครูจำนวน 1 แสนคน สามารถออมได้ทุกเดือนต่อเนื่องกันก็จะมีเงินในกองทุนของสมาคมพัฒนาครูไทยเดือนละ 150 ล้านบาท และถ้าสามารถทำต่อเนื่องได้ภายใน 5 ปี ก็จะนำเงินก้อนนี้ไปช่วยลดภาระหนี้สินของครูได้ประมาณครึ่งหนึ่ง
แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าคือ ทำไมครูที่มีนิสัยชอบกู้หนี้ยืมสินจึงไม่คิดก่อนกู้ เคยคิดบ้างไหมว่าจำเป็นต้องกู้หรือไม่ หรือกู้แล้วมีปัญญาใช้คืนหรือไม่ และที่มากกว่านั้นคือคิดบ้างไหมว่าตนเองมีจริยธรรมมากน้อยเพียงใด ต้องบอกตัวเองเสมอว่าเมื่อกู้ต้องชดใช้ แต่ถ้าคิดว่าไม่มีปัญญาชดใช้ก็อย่าก่อหนี้
ที่นี้ลองพิจารณาว่าครูไทยมีหนี้สินจากอะไรบ้าง จากข้อมูลพบว่า ครูและบุคลากรด้านการศึกษาของไทยมีหนี้สินดังนี้
1.สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ทั้งหมด 87 แห่งทั่วประเทศ มีทุนดำเนินการมากกว่า 3.7 แสนล้านบาท มีสมาชิก 6.4 แสนราย สมาชิกผู้เป็นหนี้สหกรณ์ 4.6 แสนราย วงเงินรวม 7.6 แสนล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นไปตามที่คณะกรรมการดำเนินงานของแต่ละสหกรณ์กำหนด อัตราสูงสุดอยู่ที่ร้อยละ 8.2 ต่อปี และต่ำสุดร้อยละ 2.2 ต่อปี
2.ครูกู้เงินจากสินเชื่อโครงการพัฒนาชีวิตครู ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับ ธนาคารออมสิน และกลุ่มเครือข่ายพัฒนาชีวิตครู โครงการนี้มีสมาชิกรวม 1,571 กลุ่ม หรือ 93,140 คน ยอดเงินกู้อนุมัติแล้ว 1.1 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR-0.25 เปอร์เซ็นต์ โดยเมื่อปีที่ได้ขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารออมสินให้เหลือ MLR-0.50 เปอร์เซ็นต์
3.สินเชื่อโครงการกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์เพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) สมาชิกจำนวน 8.3 แสนรายและโครงการกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา ในกรณีที่คู่สมรสถึงแก่กรรม(ช.พ.ส.) ของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) สมาชิกจำนวน 3.8 แสนราย รวมวงเงินกู้ทั้งหมด8.7 แสนล้านบาท
4.เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู บริหารโครงการโดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีทุนดำเนินการ 1,200 ล้านบาท ยอดเงินกู้ที่อนุมัติแล้ว 2.7 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR -1 เปอร์เซ็นต์
5.แหล่งเงินกู้อื่นๆ ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ เช่น บัตรเครดิตเงินกู้ธนวัฏ เงินกู้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เงินกู้จากสินค้าเงินผ่อน และเงินกู้นอกระบบ เป็นต้น
ประมาณว่าครูไทยมีหนี้สินรวมกันทั้งหมดอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท หรือเฉลี่ยแล้วพบว่าครูหนึ่งคนมีหนี้สินประมาณ 2 ล้านบาท ซึ่งคำถามก็ยังเหมือนเดิมคือ ครูกู้เงินหรือสร้างหนี้สินเพราะอะไร เมื่อก่อหนี้แล้วมีปัญญาชดใช้หรือไม่ แต่สิ่งที่สังคมไทยรับไม่ได้คือ การที่ครูบางกลุ่มได้ออกมาประกาศเพื่อประจานความสามานย์ของตนว่าจะไม่ชดใช้หนี้สินที่ก่อขึ้น การประกาศดังกล่าวมิได้ทำให้สังคมเห็นใจครูแต่ประการใด แต่กลับยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของครูตกต่ำลงจนไม่เหลืออีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี