นับตั้งแต่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 จนบัดนี้ นับเป็นเวลา 86 ปีแล้ว
ประชาชนคนไทยต้องผจญภัยกับคำว่า การเมือง โดยตลอด (และคงจะต้องผจญต่อไปอีก ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561)
เราต้องผจญกับคำว่า “เล่นการเมือง” จากในระยะ 10 ปีแรก การเมืองเป็นเรื่องของอุดมการณ์ คนเราจะก้าวเข้าสู่การเมือง ก็ด้วยอุดมการณ์ที่จะเข้ามารับใช้ชาติบ้านเมือง เข้ามารับใช้ และยกฐานะปวงชนชาวไทย ให้มีความสุข และมีความเป็นอยู่ที่ดี เท่าเทียมกับอารยประเทศ เรียกว่า เจตนามาช่วยกันสร้างชาติไทย คนไทย ให้เจริญรุ่งเรือง
แล้วเราก็ต้องผจญกับคำว่า “การเมืองน้ำเน่า” ซึ่งเป็นการก้าวเข้าสู่การเมืองโดยไร้อุดมการณ์ มีการซื้อเสียงในการลงคะแนน มีการใช้อิทธิพลบีบบังคับให้ลงคะแนน มีการซื้อตัว สส. ให้เข้ามาอยู่ในพรรค เพื่อพรรคจะได้เข้ามาเป็นรัฐบาล (หรือเรียกว่า เข้าสู่อำนาจบริหาร) และซื้อกันเป็นครั้งคราว ตามร้านอาหาร และในห้องน้ำรัฐสภาก็มี เมื่อต้องการโหวตให้พระราชบัญญัติใดฉบับหนึ่ง ผ่านการลงคะแนนเสียงไปได้โดยเสียงข้างมาก การโกงกิน (คอร์รัปชั่น) ก็เริ่มระบาดในหมู่นักการเมืองน้ำเน่า
ต่อมาเราก็ต้องผจญกับคำว่า “เผด็จการรัฐสภา” ซึ่งสืบเนื่องมาจากการซื้อเสียง สส. หรือการดูด สส. จนกระทั่งพรรคของตน มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภา ถึงตอนนั้นจะทำอะไรก็ได้ เพราะพรรคมีเสียงเกินครึ่งแล้ว จะออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจกลุ่มไหนก็ได้ นอกจากนั้น ก็คอยปกป้องคุ้มครองฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ซึ่งเป็นพรรคเดียวกันอยู่แล้ว ให้รอดพ้นจากการตรวจสอบ และจากการลงคะแนนไม่ไว้วางใจ เหมือนกับเป็นระบบเผด็จการ (Dictatorship) ที่ใช้อยู่ในหลายประเทศที่ด้อยพัฒนา ไม่ต้องมีระบบคุณธรรม ในการบริหารบ้านเมือง ไม่ต้องใช้จริยธรรมในการทำงานอยู่ในรัฐสภา พอหัวหน้าพรรคบอกมาอย่างไร ก็ต้องยกมือให้อย่างนั้น การคอร์รัปชั่นก็เจริญเติบโตขึ้น
ถัดจากเผด็จการรัฐสภา ก็มาถึง “ธุรกิจการเมือง” เมื่อคนไทยกลุ่มหนึ่ง “เล่นการเมือง” มาช้านาน คุ้นเคยกับระบบ “การเมืองน้ำเน่า” ต้องมีเลขาธิการพรรคที่คอยหาเงินเข้าพรรค เพื่อมาซื้อเสียง และดูด สส. ก็คุ้นเคยกับคำว่า “เผด็จการรัฐสภา” เรื่องเหตุผล และคุณธรรมไม่ต้องพูดถึง หัวหน้าพรรคจะสั่งมาเช่นไรก็ต้องทำตาม ทำให้คืบคลานมาถึง “ธุรกิจการเมือง” คือยึดเอาการเมือง เป็นธุรกิจหาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง หาเงินเข้าพรรคบ้าง หาเงินให้หัวหน้าพรรคบ้าง เราจึงจะเห็นนักการเมืองรุ่นประชาธิปไตยเต็มใบ มีความร่ำรวยขึ้นอย่างทันตาเห็น ไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านได้ทราบดอก เพียงแต่ท่านหลับตาทำสมาธิสัก 2-3 นาที มองไปยังจังหวัดใกล้เคียงโดยรอบพระนครหลวง เราก็จะเห็นได้ชัดเจน ว่ามีนักการเมืองน้ำเน่าคนใดบ้างที่ร่ำรวยมหาศาล และมีนักการเมืองปลายแถวอีกไม่น้อยที่ร่ำรวยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ เพราะเขาเหล่านั้นทำ “ธุรกิจการเมือง” กันทั้งนั้น มีการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจต่างๆ จนประเทศชาติเสียหาย และถึงแม้ ป.ป.ช. จะเข้มแข็ง เอาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าคุกไปแล้วมากมาย แต่ก็ยังสาวไม่ถึงตัวการที่แท้จริงมากราย (หลายรายออกนอกประเทศไปแล้ว)
ตกลงการเมืองที่เราเห็นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ที่ส่วนใหญ่เป็นการเมืองน้ำเน่า ก็เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศไทย มิให้เจริญก้าวหน้าไปสู่ความเป็นอารยะเท่าเทียมประเทศอื่น แม้แต่ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งพังพินาศไปเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482-2488) ไต้หวัน ซึ่งเป็นเกาะป่าๆ เกาะหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ สิงคโปร์ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเลย และมาเลเซีย ซึ่งเพิ่งได้เอกราชมาไม่นาน ก็พ้นกับดักความยากจนกันไปแล้ว มีความเป็นอารยประเทศ ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีสวัสดิการที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต และทรัพย์สิน ส่วนประเทศไทย นอกจากประชากรส่วนใหญ่จะยากจนแล้ว ก็ยังต้องตกอยู่ใน “วงจรอุบาทว์” (Vicious Circle) มาไม่รู้กี่ครั้ง เมื่อการเมืองน้ำเน่าหนักขึ้น คอร์รัปชั่นระบาดมากขึ้น ศีลธรรมของประชาชนก็เสื่อมลง ทหารก็ต้องออกมาปฏิวัติรัฐประหาร ล้างธุรกิจการเมือง และสิ่งไม่ดีงามออกไปเสียที แล้วก็ออกรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ ก็ล้วนแต่เอื้อให้วงจรอุบาทว์กลับมาสู่ประเทศไทย อยู่เรื่อยๆ
และในวันนี้ บัดนี้ ระบบการเมืองน้ำเน่าโดยการดูด สส. กันไปมา ก็เริ่มขึ้นอีกแล้ว คนดีๆ ก็กลับไปยินยอมเข้าระบบที่เน่าเสีย
แล้วเมื่อไรเราจะมีการเมือง และนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ ที่เข้ามาเพื่อสร้างชาติไทย ให้ไล่หลังทันประเทศอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้น และให้ก้าวเลยเขาไปได้
ตอนนี้ นั่งสมาธิเพียง 2-3 นาที คงไม่เห็นทางออกแน่ คงต้องช่วยกันคิดนานๆ
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี