สนามเลือกตั้งอีสาน ยังคงเป็นสมรภูมิตัดสินในทางการเมืองต่อไป
เนื่องด้วยจำนวนประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และจำนวน สส.จากพื้นที่ภาคอีสาน ก็ยังมีน้ำหนักสูงสุดในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีแชมป์เก่า เจ้าของพื้นที่อีสาน ส่วนใหญ่ก็คือ“พรรคระบอบทักษิณ”
ถึงขนาดว่านักการเมืองในพรรคนี้บางคนลำพองใจ หาว่าใครย้ายสังกัดออกไปอยู่กับพรรคการเมืองอื่นเมื่อไหร่ จะต้องเป็นอัน “สอบตก” แน่นอนทีเดียว
การมั่นใจเช่นนั้น อยู่บนพื้นฐานที่นักการเมืองคิดว่าพื้นที่อีสานเป็น “ของตาย” สำหรับพวกตน
แต่มันจะเป็นเช่นนั้น เสมอไปหรือไม่?
อีสานไม่มีทางเลือก? หรืออีสานไม่มีสิทธิเลือก? หรือเป็นของตายสำหรับทักษิณเท่านั้น จริงหรือ?
1. เลือกตั้งครั้งนี้ ทุกพรรคการเมืองยังต้องให้ความสำคัญกับพื้นที่ภาคอีสาน
เพราะระบบการเลือกตั้งใหม่ ทุกคะแนนเสียงมีความหมาย จะถูกนำไปคำนวณหาสัดส่วนเก้าอี้ สส. ในสภา บางเขตต่อให้แพ้การแข่งขัน สส.ระบบเขตเลือกตั้ง แต่คะแนนก็ไม่หล่นน้ำทิ้ง มีผลต่อคะแนนรวมทั้งประเทศที่จะมีผลต่อจำนวน สส.จริงในสภาผู้แทนราษฎร
หากไม่นับพรรคการเมืองเดิมที่เคยแข่งขันกันอยู่ในพื้นที่อีสาน ไม่ว่าจะเป็น ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ฯลฯ
บรรดาพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่ ก็ไม่สามารถมองข้ามพื้นที่ภาคอีสานได้เช่นกัน
2. ที่น่าจับตาที่สุด คือ การลงพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ของกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ และบรรดาผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย
คนที่ได้กำไร คือ พี่น้องอีสาน มีทางเลือกมากขึ้น
ลองคิดดูว่า ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ ทุกพรรคสามารถแข่งขันกันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครไปตีตราพื้นที่ไหนเป็นของตนเอง ห้ามคนอื่นเข้าไปทำกิจกรรมการเมือง พื้นที่อีสานคงน่าสนุก ยกตัวอย่าง “ทุ่งกุลา” ก็คงไม่ต้องร้องไห้ แต่จะเรืองรองด้วยนโยบายและแผนการพัฒนาที่แข่งกันยกขึ้นมานำเสนอเป็นทางเลือกสำหรับชาวบ้าน
3. ถ้ามองผิวเผิน การลงพื้นที่ของกำนันสุเทพ คือการลงพื้นที่เพื่อสร้างกระแสนิยมทางการเมืองให้กับพรรคใหม่ของกำนันและคณะ ซึ่งแนวโน้ม อาจจะไม่ได้มากในเรื่องคะแนนเสียง เพราะที่ใจกลางทุ่งกุลานั้นคือพื้นที่ผูกขาดทางการเมืองของเพื่อไทย
แต่ถ้ามองอีกมุมคนในพื้นที่อาจจะได้รับโอกาสมหาศาลในการพัฒนาที่ยั่งยืน
เพราะการเข้ามา “สุเทพ เทือกสุบรรณ” จะทำให้นโยบายที่มีต่อภาคอีสานของพรรคตรงกันข้ามเปลี่ยนจากประชานิยมแบบฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง มาเป็นเรื่องของการสร้างความยั่งยืนในพื้นที่มากขึ้น
เท่าที่ติดตามจากการรายงานข่าว ปัญหาที่ประชาชนเสนอผ่าน “กำนันสุเทพ” ยังคงเป็นปัญหาเดิมของชาวบ้านก่อนการมาถึงของทักษิณ เมื่อ 14-15 ปีผ่านไป
สะท้อนชัดเจนว่า แม้ประชาชนจะชอบทักษิณมาก แต่ปัญหาพื้นฐานที่เป็นเหตุแห่งความจนยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืนเลย
ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเรื่องอาชีพเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาระบบชลประทานที่เพียงพอ ความรู้ความชำนาญในการทำการเกษตรแผนใหม่ที่มีโอกาสทำให้มั่งคั่งมากกว่าแต่ก่อน ฯลฯ ยังเป็นปัญหาที่ไม่มีพรรคการเมืองใดลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง
4.ที่น่าสนใจ คือ เมื่อ “กำนันสุเทพ” ประกาศชัดเจนว่า จะสร้างนโยบาย “เขตเศรษฐกิจพิเศษทุ่งกุลาร้องไห้” ยกระดับให้พื้นที่การเกษตรกว่า 2 ล้านไร่ ให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่มีคุณภาพของไทยและของโลก
นั่นหมายถึงมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นต่อการสร้างพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษจะถูกส่งเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ยังไม่อาจชี้ได้ว่าโครงการจะสำเร็จหรือไม่ แต่พะยี่ห้อกำนันสุเทพ ในวงการเมืองรู้จักกันดีว่า “พูดจริงทำจริง” - “ใจถึงพึ่งได้” ลองตกลงรับปากจะทำแล้ว เชื่อว่าคงพยายามทำสุดกำลัง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ
ดูจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ ที่ทำไว้ที่เกาะสมุย เป็นเรื่องที่เหนือคาดหมายว่า กำนันสุเทพจะทำออกมาได้ดีขนาดนั้น และทำต่อเนื่องด้วย
คนอีสานในทุ่งกุลา ที่เคยได้พึ่งพาทักษิณในหลายปีที่ผ่านมา วันนี้ ยังมีทางเลือกอีกมากหลาย ล่าสุด ก็คือได้คนอย่างกำนันสุเทพ เสนอแนวทางที่ชัดเจนว่าจะช่วยผลักดันการพัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
การแข่งขันทางการเมืองในด้านสร้างสรรค์ จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องชาวทุ่งกุลาและชาวอีสานโดยรวม
ยิ่งถ้ากำนันสุเทพเดินหน้าสร้างการรับรู้ต่อเนื่อง ว่าแนวทางดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน ไม่ว่าจะในพื้นที่ทุ่งกุลาและชาวอีสานพื้นที่ต่างๆ จะทำให้เกิดความมั่งคั่ง ยั่งยืน มีเงิน มีฐานะ มีสุขภาพดีกันไปยาวๆ ไม่ต้องรอนโยบายประชานิยมเป็นอีเว้นท์แบบปีต่อปี ตามสมัยเลือกตั้งอีกต่อไป
ต่อไปนี้ ลำพังจะใช้นโยบายประชานิยมการตลาดมัดใจชาวบ้าน ด้วยการเสนอมาตรการลดแลกแจกแถม เพื่อให้ชาวอีสานมีเงินใช้เฉพาะหน้าอย่างต่อเนื่อง อาจจะไม่เพียงพอ
คนทุ่งกุลาหรือชาวอีสาน ได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง
5. มองในเชิงกลยุทธ์สำหรับชาวอีสาน
การลงพื้นที่ทุ่งกุลาของกำนันสุเทพ กล่าวได้ว่า เป็นการประกาศตัวสู้กับพรรคของทักษิณ ในเขตเลือกตั้งที่เกือบจะไม่มีโอกาสชนะ
แน่นอนว่า หลังจากนี้ พรรคเจ้าถิ่นต้องหาทางชนะการเลือกตั้ง ด้วยการเสนอนโยบายพัฒนาในลักษณะแนวเดียวกันกับกำนันสุเทพ โดยที่กฎหมายใหม่ห้ามพรรคการเมืองทำนโยบายละเลงเงินล้างผลาญง่ายๆ
นโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างความมั่งคั่ง มั่นคง ในระยะยาวให้กับชาวบ้านอย่างจริงจัง จึงกลายเป็นจุดขายที่จะนำมาแข่งขันกันในสมรภูมิเลือกตั้งคราวนี้
พี่น้องชาวทุ่งกุลารู้ดีว่า โอกาสของการได้เงินมาง่ายๆ จากนักการเมือง มันผ่านไปแล้ว แต่โอกาสที่ดีกว่านั้นกำลังจะมา ถ้าหากพวกเขาวางสมดุลทางการเมืองในพื้นที่ได้อย่างพอดี โดยการเลือกพรรคการเมืองที่มีพลังเข้ามาในพื้นที่มากกว่า 1 พรรค เพื่อเพิ่มการแข่งขันแย่งกันทำนโยบายดีๆ ให้กับพื้นที่
พูดง่ายๆ เลือกพรรคการเมืองไว้ใช้งานมากกว่า 1 พรรค
แม้ชาวทุ่งกุลาและอีสาน จะรัก “พรรคทักษิณ” แค่ไหน แต่ในบริบทใหม่ ถ้ามีอย่าง “พรรคสุเทพและเพื่อน” มาสร้างสมดุลทางการเมืองให้เกิดในอีสาน ย่อมเกิดประโยชน์กว่าคนอีสานมากกว่าเดิมแน่นอน
เหมือนมีปั๊มน้ำมันสองยี่ห้อ อยู่บนถนนสายเดียวกัน
เหมือนมีร้านสะดวกซื้อสองเจ้า อยู่ปากซอยเดียวกัน
เหมือนมีบริการมือถือสองค่ายแข่งกันพัฒนาคุณภาพ
เปลี่ยนจากการห้ำหั่นทางการเมือง มาเป็นสนามแข่งขันกันทำงานเชิงนโยบายที่ยั่งยืนให้กับชาวอีสาน
ใครจะไปรู้... ในอนาคต เมื่อวันนั้นมาถึง จากคู่แข่งทางการเมืองที่เผ็ดร้อน อาจจะกลายมาเป็นเครื่องยนต์คู่ ขับเคลื่อนแผ่นดินอีสานไปสู่การพัฒนาแบบก้าวกระโดดก็เป็นไปได้
เพราะในโลกของการเมือง ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี