กรณี นายศุภชัย ทัฬหสุนทร อายุ 52 ปี พร้อมด้วย นางเรวดี ทัฬหสุนทร อายุ 50 ปี ภรรยา ซึ่งเป็นบิดามารดาของ นายธนิต ผู้ตาย ที่ถูกแทงเสียชีวิตเมื่อปี 2559 เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วทันทีที่ศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้อง นายศุภชัย ซึ่งรีบผลุนผลันออกจากห้อง ปีนข้ามช่องหน้าต่างบริเวณทางเดินหน้าห้องพิจารณา กระโดดลงจากชั้น 8 ของอาคาร ร่างลอยละลิ่วฟาดกับระเบียงกันสาดชั้น 3 ก่อนกระแทกขอบพื้นทางเดิน ศีรษะกระแทกพื้นเสียชีวิตทันที
ขณะที่ นางเรวดี ภรรยา ซึ่งเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดี กำลังเซ็นชื่อรับทราบผลคำพิพากษา เมื่อทราบว่า นายศุภชัย สามีได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ถึงกับหวีดร้อง ร้องไห้ พยายามจะกระโดดตึกตาม
นายศุภชัย ผู้เป็นสามีและตะโกนว่า “ปล่อยกูๆ ไม่น่าหนีกันไปเลย” จนเจ้าหน้าที่ศาลและประชาชนที่มาศาลต้องช่วยกันจับตัวให้มานั่งสงบสติอารมณ์และคอยปลอบประโลม
นอกจากนี้ น้องภรรยาของผู้ตายได้ร้องไห้และพยายามร้องเรียนกับสื่อมวลชน ว่า คดีนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน เหตุเกิดพื้นที่ สน.ดินแดง เมื่อ 2 ปีก่อน หลานชายถูกแทงตาย มีวงจรปิดจับภาพได้แต่เมื่อไปขอภาพกลับพบว่า กล้องเสีย โดยหญิงคนดังกล่าวได้ร้องไห้ฟูมฟาย เจ้าหน้าที่ต้องเชิญไปสงบสติอารมณ์
เฉพาะเหตุการณ์หลังสุดนี้ มีคลิปเผยแพร่ออกมา และหลุดเข้าไปในสื่อสังคมออนไลน์ ปฏิกิริยาที่พบคือ การด่าทอกระบวนการยุติธรรม บ้างด่าตำรวจ บ้างด่าอัยการ บ้างก็ด่าศาล และมีบางส่วนด่าเจ้าหน้าที่ที่บอกให้น้องภรรยาผู้ตายพอได้แล้ว หยุดเถอะ เขาตายไปแล้ว
ผมได้โพสต์เฟซบุ๊ค “ปู จิตกร บุษบา” หลังเห็นคลิปและข้อความที่คนมาแสดงความเห็นด้วยความเป็นห่วงว่า เรื่องนี้ จะปล่อยเข้าไปในสื่อออนไลน์โดยไม่มีความรู้และหลักคิดเข้าไปกำกับด้วย คงไม่ดีแน่ ซึ่งผมโพสต์ไว้ว่า...
“โซเชียลมีเดีย อย่าเอาแต่ด่า แต่ต้อง “เรียนรู้” ไปด้วยกัน
1) จงแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้สูญเสีย กรณีหญิงในคลิปนี้ หลานชายถูกฆ่า บิดาของหลาน (พี่เขยของเธอ) วันนี้มาฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลพิพากษายกฟ้อง เป็นเหตุให้ผิวหวัง เสียใจมาก จึงกระโดดตึกตาย เธอจึงอยู่ในฐานะ “ผู้สูญเสีย” ที่เราแสดงความเห็นอกเห็นใจได้ และควรทำ
2) อย่างไรก็ตาม นี่คือกรณีที่ทำให้เรากลับไปทบทวนว่า ที่ผ่านมา เราเรียกร้องเสมอ เรื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ซึ่งปัญหาสำคัญอยู่ที่การ “ทำสำนวน” เพราะศาลตัดสินตามสำนวนและการหักล้างในศาล เราย้ำเสมอมาว่า อยากเห็นการทำสำนวนที่รอบคอบ รัดกุม และเที่ยงธรรม เป็นต้นทางของการ “สร้างความเป็นธรรม” จนบัดนี้ เราได้ปฏิรูปเรื่องนี้กันหรือยัง?
3) นอกเหนือจากเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นเรื่องของการพิจารณาความถูก-ผิด และกำหนดบทลงโทษ หรือยกฟ้อง แล้ว อีกด้านที่ต้องทำให้มากขึ้น เพราะเดิมทำน้อยไป คือ การเยียวยาผู้สูญเสียไม่ว่าถูกหรือผิด ครอบครัวนี้อยู่ในสภาพ “ผู้สูญเสีย” ที่รอคอย “ความเป็นธรรม” สำหรับคนที่ลูกตาย หลานตาย การรอคอยแม้เพียง 1 วินาทีก็เป็นทุกข์แล้ว แต่กระบวนการพิจารณาคดีก็ต้องใช้เวลา ดังนั้น ระหว่างที่ทางคดีใช้เวลา น่าจะมีกระบวนการเยียวยาแก่เหยื่อควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะเยียวยาทางความรู้สึก จิตใจ หรืออื่นๆ สำคัญที่สุดคือ การเยียวยาทางจิตใจนี่แหละ ได้ทำกันหรือไม่ หรือปล่อยให้จมความทุกข์ รอความหวัง รอฟังคำพิพากษา พอคำพิพากษาออกมาไม่ตรงกับที่หวัง ก็ผิดหวังรุนแรง จนถึงขั้นฆ่าตัวตาย หากมีกระบวนการเยียวยาทางใจดีๆ เขาอาจพ้นทุกข์นี้ตั้งแต่ยังไม่รู้คำพิพากษาของศาลด้วยซ้ำไป ทำเถอะนะ ทำกันเถอะ
4) ทนายหรือผู้เกี่ยวข้อง ได้ให้ความรู้หรือไม่ ว่าการสู้คดีนั้น มีถึง 3 ศาล การตัดสินของศาลชั้นต้น ยังไม่ถือว่าเป็นที่สุด อย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะหลายกรณี ศาลอุทธรณ์กับศาลฎีกา ก็ตัดสินต่างไป ดังนั้น สู้กันต่อไป
5) คำว่า สู้กันต่อไปนั้น แค่พูด ฟังดูง่าย แต่สำหรับคนที่ต้องสู้ตัวจริง มันมีภาระมากมาย ทั้งความทุกข์ที่แบกอยู่ การรอคอยที่ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะได้คำตอบ และคำตอบจะออกมาอย่างไร ยิ่งสู้หลายศาล ก็ยิ่งมีค่าใช้จ่าย ต่อให้มีการจัดหาทนายให้ หรืออัยการเป็นทนาย แต่ค่าเดินทางมาปรึกษา มาศาล ก็ต้องมี ตรงนี้จะทำกันอย่างไร
6) เรื่องนี้ ข่าวนี้ และคลิปนี้จึงมีอะไรให้เราเรียนรู้และ “สื่อสาร” ออกมามากมาย มากกว่าแค่พิมพ์คำด่าเจ้าหน้าที่ว่า มาบอกให้เขาพอแล้ว ให้เขาใจเย็นได้ไง แล้วใส่คำด่าตามมาสารพัด คุณลองไปอยู่ในสถานการณ์นั้นสิ คุณจะนึกออกไหม ว่าควรพูดอะไรออกมาบ้าง ยิ่งหากเขาไม่ถูกฝึกมาให้เจอสถานการณ์แบบนี้ ก็พูดไปเท่าที่จะนึกได้เฉพาะหน้านั่นแหละ
สื่อสังคมออนไลน์ ต้องเน้นสติและปัญญาให้มากกว่าการด่าทอกันไปมา อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ แล้วสังคมของเราจะดีกว่าที่เป็นอยู่-ทุกวัน”
ท่ามกลางความสับสนของสังคม นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงรายละเอียดคำพิพากษาคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นคดีหมายเลขดำ อ.1089/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายณัฐพงษ์ เงินคีรี เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ กรณีเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2559 เวลากลางคืน จำเลยได้ใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงบริเวณร่างกายนายธนิต ทัฬหสุนทร จนถึงแก่ความตาย ก่อนหลบหนีไป เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,371 ประกอบ 83
เหตุเกิดบริเวณ ถ.ประชาสังคมสงเคราะห์ 1 ดินแดง กทม.จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีว่าไม่ใช่ผู้กระทำผิด โดยคดีนี้ศาลอาญาได้มีคำพิพากษายกฟ้อง เหตุผลโดยสรุปคือ ประจักษ์พยานที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์และให้การไว้ในชั้นสอบสวน ไม่อาจมาเบิกความในชั้นศาลได้เนื่องจากอยู่ระหว่างการรักษาอาการป่วยทางจิตที่โรงพยาบาล จึงต้องรับฟังคำให้การชั้นสอบสวน ที่นำส่งในชั้นศาลประกอบพยานหลักฐานอื่น แต่พยานหลักฐานอื่นยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ เช่น ภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด พบว่าช่วงเวลาที่เกิดเหตุเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีผู้คนเป็นจำนวนมาก ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ปรากฏในชั้นศาลนั้น เห็นเเต่เพียงเหตุการณ์ปากทางเข้าซอยที่เกิดเหตุ เเต่ไม่สามารถบันทึกภาพบริเวณจุดเกิดเหตุไว้ได้ ดังนั้น เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจึงมีคำพิพากษายกฟ้อง
“อย่างไรก็ตาม คดีนี้เป็นเพียงการพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น ฝ่ายโจทก์ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีตามกฎหมายได้ต่อไป ซึ่งในชั้นอุทธรณ์ผู้พิพากษาที่ปฏิบัติหน้าที่ก็จะพิจารณาไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนโดยปราศจาความกดดันหรือคติใดๆ ขอยืนยันว่าศาลก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทำหน้าที่ของตนเองมาอย่างดีที่สุดแล้ว” นายสุริยัณห์กล่าว
มาตั้งหลักกันอีกสักรอบครับ หลักของการติดตามข่าวนี้ ไม่ซับซ้อนเลย คือ
1.ดูข้อเท็จจริง ซึ่งเราไม่เห็นสำนวน ก็คงต้องไปดูจากคำพิพากษา เพราะปกติคำพิพากษาฉบับเต็มจะไล่ลำดับเหตุการณ์ การนำสืบ การหักล้าง ข้อกฎหมาย และคำพิพากษาของศาลอย่างชัดเจน ปราศจากข้อเท็จจริงในสำนวนและการนำสืบแล้ว จะคิดอะไรต่อ ก็ล้วนเป็นการคาดเดาและ “ใช้ความรู้สึก” เป็นหลักทั้งสิ้น
2.ทำความเข้าใจกระบวนการยื่นอุทธรณ์ ว่าต้องมีการเขียนคำอุทธรณ์ที่ดี และต้องมีคำร้องขอนำพยานขึ้นเบิกความเพิ่มเติม หรือขอให้ศาลสูงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักฐานเพิ่มเติม ในกรณีที่จะนำหลักฐาน-พยานมาเพิ่ม ในชั้นอุทธรณ์ เพราะปกติการนำสืบ จะต้องทำให้เสร็จสิ้นในศาลชั้นต้นเท่านั้น หากจะเพิ่มเติมในชั้นหลัง ต้องให้ศาลอนุญาตเสียก่อน จึงจะทำได้
3.หยุดการด่าทั้งปวง แสดงความเห็นอกเห็นใจ และร่วมเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้อง เข้ามาดูสำนวนให้รอบคอบอีกครั้ง ก่อนยื่นอุทธรณ์
ในเรื่องนี้ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่า “คดีที่เกิดขึ้นผมจะนำสำนวนทั้งหมดมาดู ทราบแต่ว่าเกิดเหตุที่ สน.ดินแดง ซึ่งเหตุเกิดขณะนั้นผมยังไม่รับตำแหน่ง ผบช.น. จะขอไปดูรายละเอียดก่อน ส่วนในคำพิพากษาที่ศาลมีในวันนี้ เชื่อว่าศาลท่านตัดสินด้วยความเป็นธรรม ตามพยานหลักฐาน จากนี้ก็จะเรียกสำนวนมาดูว่าสาเหตุเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ทำไมศาลถึงยกฟ้อง เพื่อให้ได้ความรอบคอบ”
ผบช.น. กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ได้คุยกับภรรยาผู้เสียชีวิต ทราบว่าผู้เสียชีวิตเครียด และหวังไว้มากว่าศาลจะพิพากษาลงโทษ แต่เราก็ไม่ทราบรายละเอียดเนื้อหาต้องขอกลับไปรื้อฟื้นสำนวนคดีมาดูใหม่ก่อน คดีนี้ยังเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งตามขั้นตอนยังสามารถยื่นอุทธรณ์และฎีกาได้อยู่ ตอนนี้ก็ขอดูแลสภาพจิตใจภรรยาผู้เสียชีวิตก่อน
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ตนจะไปดูสำนวนเก่าว่ามีความเป็นมาอย่างไร เราให้ความเป็นธรรมอยู่แล้ว ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (น.1) ก็รับปากแล้วว่าจะไปดูสำนวนเก่า เมื่อถามว่า จำเป็นต้องตรวจสอบพนักงานสอบสวนชุดที่เคยทำคดีนี้หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า แน่นอน เราต้องให้ความเป็นธรรมว่าการทำสำนวนเป็นอย่างไร มีความรอบคอบทุกอย่างหรือไม่ หากมีตรงไหนบกพร่องทางสำนวนก็ค่อยว่ากัน
ส่วน นายพิทักษ์ อบสุวรรณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ยืนยันว่าจะยื่นอุทธรณ์ให้คดีขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีกครั้งแน่นอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มจากศาลอาญา คาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นาน หลังจากนั้นจะทำความเห็นไปยังอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง ว่ามีความประสงค์ที่จะอุทธรณ์สู้คดีนี้ต่อในชั้นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ซึ่งอัยการศาลสูงก็จะเป็นผู้พิจารณาต่อไป
ส่วนแนวทางการยื่นอุทธรณ์คดีตรงนี้ เบื้องต้นที่ศาลยกฟ้องเนื่องจากไม่ได้ประจักษ์พยานไปเบิกความในชั้นพิจารณาคดี เพราะประจักษ์พยานที่ว่านี้ป่วยรักษาตัวอยู่ที่ รพ. ทางคณะทำงานก็จะดูว่ามีช่องทางขั้นตอนที่จะสู้คดีตรงนี้อย่างไร ส่วนจะสามารถเอาประจักษ์พยานปากที่ว่านี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้หรือไม่นั้นตอนนี้ยังตอบไม่ได้ จะต้องขอประชุมกับคณะทำงานก่อน โดยเรื่องนี้ทางคณะทำงานอัยการจะต้องมาประชุมกันว่าจะมีแนวทางอย่างไร เนื่องจากการสืบพยานจบลงในศาลชั้นต้นไปแล้ว ตรงนี้จะมีวิธีการหรือข้อกฎหมายที่จะสู้คดีในชั้นอุทธรณ์อย่างไรต่อไป
ติดตามกันต่อครับ เรื่องนี้ แต่ต้องติดตามด้วยความรู้และเหตุผล อย่าใช้ “ความรู้สึก” อย่างเดียว พอเราไปตั้งโจทย์ว่า เขา “กระโดดศาลเพราะต้องการความเป็นธรรม” ทำให้เรารู้สึกอยู่ด้านเดียวว่า “ความเป็นธรรมหายไป” เราอาจต้องค่อยๆ เรียนรู้ใหม่ ด้วยการมองให้รอบด้านมากขึ้น!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี