วันที่ 24 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ได้มีชายผู้หนึ่งกระโดดตึกตายที่ศาลอาญารัชดา หลังศาลฯยกฟ้อง คดีที่ลูกชายตัวเองถูกแทงจนเสียชีวิต เรื่องนี้หากมองเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ในสังคมที่มีคนผิดหวังและฆ่าตัวตายก็อาจใช่ แต่เรื่องนี้กำลังทำให้สังคมตั้งคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมไทยว่า แท้จริงแล้วตอบโจทย์ของการให้ความยุติธรรมกับประชาชนจริงๆ หรือไม่? เพราะถ้าย้อนกลับไปดูที่ต้นเหตุของปัญหาของเหตุการณ์ข้างต้นจะพบว่า ขั้นตอนที่น่าจะเป็นปัญหาที่สุด คือ ขั้นของการรวบรวมพยานหลักฐานและส่งฟ้อง มีคำถามว่าเจ้าหน้าที่ทำได้ละเอียดรอบคอบหรือไม่? จนอาจเป็นผลให้พยานหลักฐานอ่อน และศาลฯพิพากษายกฟ้องในที่สุด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นย่อมเท่ากับกระบวนการยุติธรรมเกิดความไม่สมบูรณ์ และส่งผลต่อความเที่ยงธรรมต่อประชาชนในสังคม
เรื่องของการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องหนึ่งที่ถูกคาดหวังอย่างมากในสังคม โดยเฉพาะกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งตำรวจถือเป็นส่วนสำคัญ มีการพูดถึงแนวทางการปฏิรูปตำรวจตั้งแต่การเข้ามามีอำนาจของรัฐบาล คสช. ตลอดจนหลายรัฐบาลก่อนหน้าที่ทั้งผู้มีอำนาจและประชาชนก็ต่างรู้สึกเหมือนๆกันว่า องค์กรตำรวจกำลังมีปัญหา ทั้งในด้านสว่าง และด้านมืด ด้านสว่างคือ อำนาจที่ดูแลประชาชนมีเพียงพอหรือมากเกินไปหรือไม่? เทคโนโลยีของตำรวจทันสมัยเพียงพอหรือไม่? ในด้านมืดคือ เรื่องที่รู้ๆ กันดีคือเรื่องของการทุจริต คอร์รัปชั่น การเรียกรับสินบน การซื้อตำแหน่งอย่างการใช้ช่องวางตามอำนาจของตำรวจ วัฒนธรรมองค์กรที่บีบให้ข้าราชการน้ำดีต้องติดวังวนตามน้ำเพื่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ตลอดจนการส่งส่วยนาย ซึ่งทั้งนี้แล้ววัฒนธรรมดังกล่าวคือสิ่งที่ฝังรากลึกในระบบตำรวจไทยมาเนิ่นนาน
การปฏิรูปตำรวจของรัฐบาลปัจจุบันที่แม้จะมาช้าไปหน่อยแต่ก็ได้เริ่มทำแล้วโดยมีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปที่นำโดยบิ๊กสร้าง ผู้ใหญ่ในวงการทหารที่พยายามจะเข้ามาจัดการกับระบบข้าราชการตำรวจให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นแต่สุดท้ายก็กลับหยุดชะงักไป จนใกล้เข้าถึงโค้งสุดท้ายของรัฐบาล คสช. ที่ก็ไม่รู้ว่าจริงใจในการปฏิรูประบบตำรวจหรือไม่? กระบวนการต่างๆที่เริ่มล่าช้าออกไป ประกอบกับเงื่อนไขเวลาที่ลดลง กำลังสร้างความไม่มั่นใจให้กับประชาชนว่าเรื่องการปฏิรูปตำรวจที่ประชาชนมีฉันทามติ ว่า ต้องแก้ไขจะจบลงอย่างไร? หรือมีอะไรซ่อนอยู่ใต้ภายในองค์กรตำรวจที่ขณะนี้ทหารยังจัดการไม่ได้ เพียงแค่วัฒนธรรมองค์กรที่โบราณ และมีปัญหา หรือมีระบบอุปถัมภ์บางอย่างที่แทรกตัวอยู่ภายในซึ่งมีให้เห็นหลายกรณี
อย่างกรณีที่โลกออนไลน์ปรากฏภาพนายตำรวจท่านหนึ่ง สังกัดกองพัฒนาการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ขณะชมฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียพร้อมกับ พี่น้องอดีตนายกฯ ระบอบทักษิณ
ทั้งนี้ยังไม่นับรวมภาพก่อนหน้านี้ที่หิ้วถุงช็อปปิ้งเดินตามอดีตนายกฯหญิงในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งทั้งคู่อยู่ระหว่างการหนีคดีในประเทศไทย แม้ว่าจะเป็นการยื่นใบลาราชการช่วงสองเดือนนี้ ที่ระบุเหตุผลว่าลาไปดูสถานที่ศึกษาต่อของบุตรที่ประเทศอังกฤษก็ตาม แต่การไปทำหน้าที่ติดตามอารักขานายเก่า ทั้งที่ตัวเองยังอยู่ในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ แต่กลับไม่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสมหรือไม่?
เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าทั้งคู่เป็นนักโทษหนีคดี และอยู่ในฐานะผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ย่อมเข้าข่ายมีพฤติกรรมให้ความช่วยเหลือบุคคลที่มีหมายจับหรือไม่? หากเป็นจริงจะถือเป็นความผิดในทางวินัยของข้าราชการหรือไม่?
แม้ที่สุดจะมีการสั่งพักราชการ และเรียกกลับมารายงานตัวทันที ไม่เช่นนั้นจะถือว่าขาดราชการ พร้อมกับตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตามประมวลจริยธรรมตำรวจสืบพฤติกรรมดังกล่าว กับนายตำรวจคนนี้แล้วก็ตาม แต่ทั้งหมดก็เป็นผลจากการกดดันของสังคมและสื่อ ตลอดจนมีคำถามว่าการพักงานไม่ได้มีบทลงโทษอะไรที่ชัดเจน เพราะการสั่งพักราชการชั่วคราวก็เป็นเรื่องที่ทำกันจนเป็นกระบวนการปกติ ใครที่มีเรื่องฉาวออกมาก็เพียงแต่พักราชการชั่วคราวแล้วสุดท้ายก็กลับมากินตำแหน่งเดิมใช่หรือไม่? ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต่างกับครั้งก่อนๆ อย่างไร?
ทั้งนี้ในวงการตำรวจ นายตำรวจคนดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดีในฉายาสารวัตรเทวดา เพราะได้เลื่อนขั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว จากการติดตามอารักขา อดีตนายกฯ ระบอบทักษิณ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี และแม้จะนิ่งในสมัยรัฐประหารปี 2549 ก็ยังมีคำสั่งให้มาดูแลรักษาความปลอดภัยให้ภรรยาอดีตนายกฯที่ถูกรัฐประหาร จนกระทั่งเมื่ออำนาจกลับมาเป็นของพรรคพลังประชาชน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของตำแหน่งผู้อารักขาประจำตระกูลชิน โดยเป็นบอดี้การ์ดผู้เป็นคนใกล้ชิด ไว้วางใจ และเปรียบเสมือนคนในครอบครัวที่พี่ใหญ่ส่งต่อให้น้องเล็ก จนเป็นที่รู้กันว่าทุกวันนี้ใครจะเข้าพบคู่พี่น้องอดีตนายกฯ ก็ต้องนัดหมายผ่านนายตำรวจท่านนี้เท่านั้น และมีกระแสข่าวว่าทุกวันนี้ที่ยังโลดแล่นในวงการสีกากีได้อย่างสบายใจเพราะไม่มีใครในสตช. กล้าจัดการอย่างจริงจัง เพราะทุกคนต่างมีหนี้บุญคุณที่เคยใช้ให้ติดต่อกับนายใหญ่เพื่อขอตำแหน่งเสมอมา ซึ่งมีคนสงสัยว่าการไม่เอาโทษทางวินัยจะเข้าข่ายความผิดทางอาญามาตรา 157 หรือไม่?
อีกหนึ่งกรณีที่น่าสนใจ คือกรณีของรองผู้การฯใหญ่ ที่ตอนนี้จะออกสื่อบ่อยครั้ง สิ่งหนึ่งที่กำลังถูกตั้งคำถามจากสังคมคือขอบข่ายหน้าที่ของรองผู้การฯท่านนี้ว่ามีอำนาจหน้าที่เพียงใด เพราะดูแล้วมีอำนาจปราบปรามเหมือนจะมากกว่าผู้การกองปราบด้วยซ้ำ โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าเส้นทางการเจริญเติบโตของรองผู้การท่านนี้มีที่มาจากผู้ใหญ่ในหลายรัฐบาลส่งต่อกันมา แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือเรื่องราวก่อนหน้าที่รัฐบาลนี้จะเข้ามา เพราะเมื่อสืบสายกลับไปแล้วว่ากันว่าพื้นฐานครอบครัวของรองผู้การฯท่านนี้เคยอยู่ใต้ร่มเงาของ คุณหญิงภรรยาอดีตนายกฯมาก่อนใช่หรือไม่? จึงทำให้มีเส้นทางการเติบโตที่โลดโผนไม่เหมือนใคร กระทั่งตำแหน่งรองผู้การที่เป็นในปัจจุบันยังเป็นตำแหน่งที่ถูกเปิดขึ้นเฉพาะกิจเพื่อให้รองผู้การฯท่านนี้เป็นการเฉพาะ
ที่บอกว่าน่าสนใจเพราะรองผู้การฯท่านนี้สามารถอยู่ได้ทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกี่ครั้งก็ตาม โดยมีกระแสข่าวว่าเป็นเพราะ รองผู้การฯคนนี้เป็นผู้ส่งผ่านข้อมูลไปถึงผู้มีอำนาจ และในปัจจุบันยังมีหน้าที่ ในการจัดโผโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ ใน สตช. ด้วยหรือไม่? เรื่องระบบอุปถัมภ์ที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า วัฒนธรรมที่พึ่งพิงกันระหว่างผู้มีอำนาจและผู้มีอิทธิพลต่างตอบแทนกันเองจนที่สุดแล้วทำให้กระบวนการยุติธรรมเองที่เสื่อมเสียไปทั้งระบบ? เพราะเพียงการที่ต้องตอบแทนบุญคุณในเรื่องส่วนตัวกัน คำพูดที่ว่า ใครอยากเจอนายใหญ่ให้ไปหาสารวัตร อยากได้ตำแหน่งให้ไปหารองผู้การฯ เป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออก เพราะที่สุดแล้วตำรวจน้ำดีที่ตั้งใจทำงานรับใช้ประชาชนมากกว่าการสร้างภาพ
ตำรวจน้ำดีที่ตั้งใจจะรักษาความบริสุทธิ์ยุติธรรมในสังคม แต่เข้าไม่ถึงอำนาจก็จะเป็นได้เพียงตำรวจธรรมดาๆ ที่อยู่นอกสายตาและไม่ได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานใดๆ นี่ยังไม่นับรวมประสิทธิภาพที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะตำรวจที่จะส่งผลต่อชีวิตของประชาชน นอกเหนือจากประเด็นนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าคือ การปฏิรูปที่จะมีขึ้นรัฐบาลนี้ จะสำเร็จได้จริงหรือไม่ เพราะคีย์แมนคนสำคัญทั้งสองที่กล่าวมาข้างต้นยังมีอิทธิพลอยู่ในองค์กร แม้ว่าจะไม่ได้มีตำแหน่งสูงอะไรก็ตาม แต่ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่เข้าถึงการตัดสินใจของผู้มีอำนาจในรัฐบาลนี้ได้
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย และประชาชนทุกคนต่างรอคอยการจัดการปรับโครงสร้าง ปฏิรูปวงการตำรวจ และกระบวนการยุติธรรมไทยให้มีระบบระเบียบที่ประชาชนตาดำๆ จะฝากชีวิตไว้ได้ ต้องฝากความหวังสุดท้ายให้รัฐบาล คสช. เอาจริงเอาจังในการจัดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทยให้เรียบร้อยก่อนหมดวาระ..........
คนที่บอกว่าไม่กลัว ในใจมักหวาดกลัวผู้อื่น
คำคมโกวเล้งจากเรื่องเล็กเซี่ยวหงส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี