27 ก.ค. 2561 นายนคร มาฉิม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค หัวข้อ
“จากใจนคร มาฉิม อดีตสส.ประชาธิปัตย์ ถึงคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
“...ถึงนายกทักษิณ ชินวัตร ก่อนหน้านี้ผมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก สังกัดพรรคประชาธิปัตย์
อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับท่าน ที่เป็นทั้งหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ปี 2544 ท่านเป็นรัฐบาล ผมเป็นฝ่ายค้าน ต่างคนต่างทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย ท่านทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายที่หาเสียงไว้และที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ท่านทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ผมทำหน้าที่ตรวจสอบในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ โดยต่างฝ่ายต่างยึดเอาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและประชาชนเป็นที่ตั้ง
ขณะนั้นต้องยอมรับความจริงว่า ท่านบริหารชาติบ้านเมืองได้ดี มีนโยบายใหม่ๆ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้าน โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สร้างสนามบินสุวรรณภูมิ การค้า การลงทุนเฟื่องฟูเจริญรุ่งเรืองต้องยอมให้ในการบริหารงานของท่านว่าเก่งมาก ทำให้พรรคไทยรักไทยโดยการนำของท่านชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย 377 เสียงสส. จาก 500 สส. เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมือง ผมอยู่ฝ่ายตรงข้ามก็มองอย่างแปลกใจว่าเป็นไปได้อย่างไร ทำไมท่านจึงชนะใจประชาชน
และเหตุใดพวกเราจึงพ่ายแพ้ต่อท่านอย่างยับเยิน ทั้งที่พวกเราและแนวร่วมฝ่ายอนุรักษ์นิยม มีความพร้อม ทั้งทุน
เครือข่าย นายทุน กลุ่มขุนศึก กลุ่มศักดินาอำมาตย์ และเครือข่ายข้าราชการ ได้ใช้สรรพกำลังทุกองคาพยพอย่างเต็มที่แล้ว ใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ใช้วาทกรรมทำลายทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะ รวยแล้วโกง โกงทั้งโคตร ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ แต่ยังไม่สามารถหยุดยั้งความนิยมในตัวท่านและพรรคของท่านได้
ขณะนั้นพวกเราตื่นตระหนกกันมาก จึงร่วมกันทุกฝ่ายระดมสรรพกำลัง ทั้งฝ่ายการเมือง ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายข้าราชการประจำ และที่สำคัญที่สุดและแนบเนียนที่สุด คือ ฝ่ายตุลาการระดับสูงบางคนที่เชื่อมั่นและศรัทธาฝ่ายเผด็จการอนุรักษ์นิยมในนามตุลาการภิวัตน์ ร่วมกันขย้ำท่าน และพรรคของท่านให้ตายคามือ ยึดอำนาจด้วยปืน ยุบพรรคท่านทิ้งด้วยกฎหมาย ตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหาร
เมื่อนักการเมืองแถวสอง มาในนามพรรคพลังประชาชน ทำไมพวกท่านยังชนะการเลือกตั้งอยู่ พวกเราจึงร่วมกันใช้วิธีการเดิมยึดอำนาจด้วยกำลังอาวุธ ยุบพรรคท่านทิ้งด้วยอำนาจทางกฎหมาย นักการเมืองพวกท่านแถวที่สาม มาตั้งพรรคใหม่ชื่อเพื่อไทย เอาน้องสาวท่านซึ่งไม่ประสีประสาเรื่องการเมืองมาลง ก็ชนะพวกเราอีก มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยส่วนใหญ่ ท่านมีดีอะไรทำไมท่านจึงชนะตลอด และทำไมฝ่ายเรา ที่ครองอำนาจ มายาวนานมีครบเครื่องทุกองคาพยพจึงพ่ายแพ้ตลอด และไม่เห็นช่องทางที่จะชนะท่านได้เลย
สุดท้ายพวกเราจึงปรึกษากันว่า คงจะต้องให้ทหารยึดอำนาจอีก และเพื่อตอกฝาโลง ก็ใช้กระบวนการยุติธรรมในมือ
ตัดสินเอาผิดอีก ท่านกับน้องสาวจะต้องไม่อยู่ในประเทศ เพราะถ้าท่านอยู่พวกเราคงจะไม่ได้มีโอกาสชนะและกลับมาครองอำนาจเป็นแน่ พวกท่านอยู่ต่างประเทศคงจะสบายดีนะ พวกเราขอแช่แข็งประเทศสัก 5-20 ปีก่อน จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าพวกเราจะบริหารจัดการอำนาจและปกครองแบบเบ็ดเสร็จ
การสมคบคิด การวางแผนการยึดอำนาจ กระบวนการทำลายประชาธิปไตยทำลายอำนาจของประชาชนจึงมีอยู่จริง ไม่ใช่เป็นแค่เพียงทฤษฎี แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะนี่มันคือสงคราม สงครามระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย กับฝ่ายเผด็จการและแนวร่วมฝ่ายเผด็จการ ในหลายๆ เรื่อง หลายๆ เหตุการณ์ หลายๆสถานการณ์ผมอยู่และรับรู้จากเหตุการณ์จริงนั้นด้วย แต่พอมีสติ พิจารณาศึกษาอย่างรอบด้านจึงรู้ว่าเหตุผลที่ทำให้ท่านชนะ เพราะท่านทำเพื่อประชาชนในวิถีประชาธิปไตย เหตุผลที่ฝ่ายเราพ่ายแพ้ตลอดเพราะฝ่ายเราทำเพื่อนายทุน ขุนศึก และศักดินาอำมาตย์ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนและประชาธิปไตย ที่สำคัญที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่รู้เท่าทันและรู้ความจริงทุกอย่างแล้วว่า ใครเป็นใคร ใครต่อสู้เพื่อประชาชนและประชาธิปไตย ใครต่อสู้เพื่อเผด็จการและเครือข่ายเผด็จการ
ผมขอโทษท่านและน้องสาวท่านด้วยนะครับที่เคยต่อสู้กับท่าน แต่เมื่อความจริงปรากฏ ความอยุติธรรมและเผด็จการปกครองครอบงำประเทศ ประชาชนเดือดร้อน ทุกข์ยากลำบาก สิทธิเสรีภาพสูญสิ้นชาติบ้านเมืองของเราบอบช้ำ เข้าขั้นวิกฤติผมจึงขออนุญาตมาร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับท่าน ขอร่วมสู้กับท่านและเหล่าวีรชนฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อนำพาประเทศไทยของเรา ให้ข้ามพ้นจากความขัดแย้ง ข้ามพ้นจากยุคมืดของเผด็จการ ที่กดขี่ข่มเหงพวกเรา เดินทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเสมอภาพ ความเจริญรุ่งเรืองเช่นอารยประเทศ
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 69 ปีของท่าน ชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข ผ่านอุปสรรคหนักหนามาอย่างท่าน มีทั้งคนรัก มีทั้งคนเกลียด มีทั้งคนกลัวท่าน ถือว่าท่านใช้ชีวิตโคตรจะคุ้มเลย ท่านอย่าพึ่งเป็นอะไรไปเสียก่อนละ เชื่อว่าอีกไม่นาน ฝ่ายประชาธิปไตยและประชาชนจะเป็นฝ่ายชนะ ฝ่ายเผด็จการแน่นอน ไม่ต้องรอชาติหน้า เพื่อเป็นของขวัญในวันเกิดของท่าน ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยก็จะรู้สึกมีความสุข เอิบอิ่มใจ ลูกหลานพวกเราก็ไม่ต้องเป็นทาสไพร่อีกต่อไป คุณความดีของท่านที่เคยทำไว้คนไทยส่วนใหญ่จะไม่ลืม
ในฐานะผู้แทนคนหนึ่งแม้จะไม่ได้ไปพบปะกับท่าน ก็ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงอำนวยพรให้ท่านและครอบครัวมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ขอให้ท่านใช้สติ ปัญญาที่ชาญฉลาดของท่านอย่างสุขุมรอบคอบ อย่าหลงระเริงไปกับลาภ ยศ สรรเสริญเยินยอจนลอยห่างไปจากความจริง ไปจากประชาชนนะครับ และขอให้ท่านและน้องสาวยิ่งลักษณ์ ได้กลับมาสู่อ้อมกอดของแผ่นดินแม่นะครับ...”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายนคร มาฉิม อดีต สส.พิษณุโลก ได้ยื่นใบลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่
26 ธ.ค.2556 จากนั้นย้ายเข้ามาอยู่พรรคชาติพัฒนา แล้วลาออกเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2559 ก่อนปรากฏชื่อร่วมลงพื้นที่กับพรรคเพื่อไทย ตรวจสอบพบความผิดปกติโครงการขุดลอกคูคลองขององค์การทหารผ่านศึก (อผศ.) พร้อมเปิดฉากโจมตีอดีต สส.ร่วมพรรคเก่าอย่างดุเดือด
ประเด็นที่พึงวิเคราะห์ข้อความทั้งหมดของนายนครได้แก่
1) ทำไมนายนคร ซึ่งย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปอยู่พรรคชาติไทยพัฒนา และทำท่าจะไปอยู่กับพรรคทักษิณแล้ว ยังต้องอ้างความเป็นอดีต สส. ประชาธิปัตย์ ในการเขียนเรื่องนี้อยู่อีก ผูกใจเจ็บอันใดหรือไม่ หวังผลอะไรหรือไม่
ถ้าใช่ นี่ย่อมเป็นข้อความฉ้อฉลที่หวังผลทางการเมืองอย่างปราศจากความซื่อตรง
2) นายนครใช้คำว่า “เรา” เล่าเหตุการณ์ว่าเราอย่างนั้น เราอย่างนี้ เป็นความรับผิดชอบที่สื่อมวลชนควรจะไล่จี้ถามความหมายที่แท้จริงว่า “เรา” ที่ว่า หมายถึง “ใคร”
3) คำว่า “เรา” ของนายนคร มีความสับสนในการสื่อสาร อาจเป็นความจงใจทำให้คนเข้าใจไปว่า หมายถึง “พรรคประชาธิปัตย์” ไปร่วมมือกับทหาร กับศักดินา (ต้องการจะสื่อถึงใคร?) ฯลฯ โค่นล้มทักษิณ ด้วยวิธีการที่ไม่ตรงไปตรงมาหลายอย่าง หมิ่นหยามไปถึงกระบวนการตุลาการ ซึ่งสมควรที่ผู้ได้รับผลกระทบและความดูถูกเกลียดชัง ควรจะดำเนินคดีกับนายนครเสียให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่บางช่วง ก็ไม่ใช่บริบทของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไม่อยู่ในเวลาที่ประชาธิปัตย์มีอำนาจ คำว่า “เรา” ของนายนครจึงถูกประดิดประดอยขึ้นบนความคลุมเครือ เพื่อสร้างความเข้าใจผิด และผลักกลุ่มอื่นๆ ที่ “ไม่เอาทักษิณ” ไปเป็น “พวกเดียวกัน” ให้หมด แถมไปลากพาบางกลุ่มมารวมเป็น“ศัตรูร่วม” ของทักษิณเสียอีก อย่างนี้ไม่สง่างาม และสะท้อนความ “ต่ำทราม” ทางความคิดเป็นอย่างมาก
4) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตัวเองสนิทสนมกับนายนครเป็นอย่างมาก เพราะเป็นคนชวนตัวเองเข้ามาทำงานการเมืองภายใต้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เพราะบอกว่าเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง ตนจึงตัดสินใจเข้าร่วม แต่ภายหลังไม่ทราบ และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรกับนายนคร ถึงแสดงท่าทีเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายนคร ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ปี’56 และไปสังกัดพรรคชาติพัฒนา และพวกเราอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังแสดงความยินดี และเข้าใจการตัดสินใจของนายนคร เพราะท่านบอกว่าจำเป็นต้องดูแลพื้นที่ และต่อมาก็ชนะการเลือกตั้งในปี’57 แต่สุดท้ายผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ซึ่งช่วงนี้นายนครก็ไม่เคยต่อว่าพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด แต่มาบัดนี้กลับมีท่าทีตรงกันข้าม ตนจึงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขาในภายหลัง
5) นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายนคร มาฉิม อดีตผู้สมัคร สส.พรรคชาติพัฒนา ที่ระบุพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์เป็นเครื่องมือให้เผด็จการยึดอำนาจว่า นายนคร จะวิวาทะกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ก็ว่ากันไป แต่ไม่ควรลามปาม มากล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดทางการเมืองแก่นายนคร เพราะการพาดพิงถึงพรรคเช่นนี้ เป็นการพูดเท็จ เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงอนาคต หากทหารจะยึดอำนาจในประเทศไทย จะมีใครหรือพรรคใดยับยั้งได้บ้าง นายนครก็รู้อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ดี แล้วมากล่าวหาว่า พรรคเป็นเครื่องมือทหารได้อย่างไร
นายวัชระกล่าวต่อว่า เหตุใดนายนครไม่คิดบ้างว่า ตระกูลชินวัตร เป็นต้นเหตุของการรัฐประหารถึงสองครั้ง แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่ฝ่ายความมั่นคงของประเทศยอมไม่ได้ จึงต้องทำรัฐประหาร ซึ่งทหารที่รักชาติและเทิดทูนสถาบัน ย่อมดีกว่าพรรคการเมืองบางพรรค หรือแก๊งการเมืองที่โกงชาติ เผาบ้านเผาเมือง ทั้งยังมีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันมาโดยตลอดแน่
นายนครเองเคยประณามและต่อต้านสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เหตุใดวันนี้จึงยอมตัวเปลี่ยนแปลงไป ส่วนใครที่มากล่าวหาว่า นายนครขายตัวนั้น ตนไม่เชื่อ เพราะสมัยพรรคไทยรักไทยเฟื่องฟู นายนครเคยถูกเสนอซื้อตัวราคาถึง 30 ล้านบาท แต่นายนครก็ยังยืนกัดเกลือกินอยู่พรรคประชาธิปัตย์ มาวันนี้นายนครย้ายไปแล้ว 2 พรรค ก็ย่อมเป็นเหตุที่ให้คนสงสัยไถ่ถามได้ว่า นายนครถูกซื้อตัวหรือไม่ ด้วยเงินเท่าไร แต่ส่วนตัวไม่เชื่อแน่
นายวัชระกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีนโยบายจำนำข้าว ที่สร้างความเสียหายกว่า 7 แสนล้านบาทนั้น ถ้านโยบายนี้ดีจริง
ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงไม่มีเงินจ่ายให้ชาวนา ทำไมชาวนาตรอมใจตาย เพราะนโยบายนี้ถึง 16 คน ไม่เว้นแม้แต่จังหวัดบ้านเกิดของนายนคร ซ้ำทุกงานศพของชาวนาไร้พวงหรีดจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ในขณะนั้นแม้แต่ศพเดียว จึงไม่ควรมาถกเถียง หรืออ้างความถูกผิดในเรื่องนี้อีก เมื่อเรื่องอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว นายนครเป็นทนายความและนักการเมืองย่อมรู้กฎหมายดีว่า ควรเคารพการพิจารณาของศาล ไม่ควรชี้นำว่าโครงการนี้ดีจนหาที่ติมิได้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วได้สร้างความหายนะให้กับประเทศมาจนถึงบัดนี้
6) ข้อความของนายนครนี้ ถูกตีความจากผู้อ่านจำนวนมาก ว่า “เลียจนไข่เลื่อม” จริงอยู่ ความสามารถในการบริหารจัดการรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร นั้น หลายเรื่องเป็นเรื่องที่ดี มีประสิทธิภาพ หมู่คณะมีความพร้อมเพรียง แต่นายนครพึงจำแนกแยกแยะเรื่องที่แฝงไว้ด้วยการ “ทุจริต”โดยเฉพาะการ “ทุจริตเชิงนโยบาย” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการโกงที่อธิบายได้ และพิสูจน์ได้ ว่าไม่ใช่ “วาทกรรม” จนกลายเป็นคดีความทั้งที่ตัดสินไปแล้วและคาศาลอยู่เป็นจำนวนมากในเวลานี้
7) อย่างคดีทุจริตที่ดินรัชดา คดีจำนำข้าว ก็พิสูจน์แล้วด้วยข้อกฎหมาย ด้วยการต่อสู้ในศาล ซึ่งยิ่งลักษณ์-ทักษิณ สู้ด้วยตัวเอง และหลบหนีไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ติดคุกอยู่ ไม่หนีไปไหน
สิ่งที่นายนครทำนี่ต่างหาก ที่เป็น “วาทกรรม” ซึ่งไม่สง่างาม เลือกพูดบางเรื่องอย่างคลุมเครือ แต่อีกหลายเรื่องที่พูดให้ชัดเจนได้ เพราะถูกพิสูจน์มาแล้วว่า ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ กระทำการอย่างทุจริต สร้างความเสียหายมากมาย โดยใช้อำนาจและกลไกที่ได้รับความไว้วางใจมาจากประชาชน บางครั้งก็ส่อว่าเป็นการทรยศ หักหลัง เอาเปรียบ เช่น กฎหมายนิรโทษกรรม ที่ย่ำยีชีวิตของ นปช. เสื้อแดง ให้ตายฟรี โดยไม่เอากระบวนการยุติธรรมเข้าช่วย หรือแม้แต่ตอนยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาล ก็หาได้ใส่ใจที่จะติดตามความคืบหน้าของคดีทั้งหลาย เพื่อทวงความยุติธรรมที่คนเสื้อแดงรอคอยมา ในขณะที่แกนนำหลายราย เช่น เต้น-ณัฐวุฒิ ผัวเมียโหวงเหวง เมียนายกี้ร์ อริสมันต์ ล้วนเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีเงินเดือน มีรายได้ แต่คนเสื้อแดงที่เจ็บ ที่ตาย ได้อะไร นอกจากการออกกฎหมายให้ตายฟรี!! ไม่ให้มีกระบวนการยุติธรรมเกิดขึ้น เหมือนต้องการ “ตัดตอน-อำพราง” อะไรบางอย่างเสีย แต่แกนนำก็ยังหน้าด้าน หยิบเรื่องการตายของคนเสื้อแดงมาหาประโยชน์ เหมือนอีแร้งทึ้งศพจนถึงทุกวันนี้
หยุดเถอะครับ การเล่นการเมือง “สกปรกๆ” แบบนี้
กาลเวลา มีข้อดี คือช่วยพิสูจน์ให้เราได้เห็นว่า ใครคือคนคุณภาพในวงการการเมือง และใครเป็นได้แค่ “สวะทางการเมือง”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี