มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน
เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ
(สุนทรภู่)
เมื่อคุณอ่านบทกลอนนี้แล้ว คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองบ้างไหมว่า คุณเป็นคนชนิด “ไม่ควรซื้อ ก็อย่าไปพิไรซื้อ” หรือว่า เป็นคนชนิด “ไม่ควรซื้อ ก็ซื้อได้โดยไร้คิด”
คนไทยส่วนใหญ่มีปัญหาเหมือนกันอย่างหนึ่งคือออมไม่เป็น และบางคนก็ไม่เคยคิดจะออม เมื่อคนในสังคมไทยส่วนมากมีปัญหาการออม จึงทำให้เกิดปัญหาการเป็นหนี้สินตามมา แต่ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร หากผู้ก่อหนี้สินสามารถชำระหนี้สินได้ครบตามจำนวน และตามกำหนดเวลา แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว มิได้เป็นเช่นนั้นเลย
คนบางคนมีนิสัยชอบก่อหนี้ เพราะคิดเอาเองว่าการมีหนี้ คือการแสดงให้สังคมเห็นว่าตนเองมีเครดิตทางการเงินดี เพราะหากไม่มีเครดิตทางการเงินในระดับที่ดีแล้ว จะไม่มีใครอนุมัติเงินกู้ หรืออนุญาตให้ก่อหนี้ได้
คนบางชนิดมีบัตรเครดิตมากกว่า 15 ใบ แล้วก็พอใจ และภูมิใจกับการที่ตนเองมีบัตรเครดิตมากๆ อยู่ในกระเป๋า แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าหากคนที่มีบัตรเครดิตหลายใบไม่ได้เป็นหนี้บัตรเครดิต จนต้องให้ผู้ออกบัตรไล่ตามทวงหนี้ตลอดเวลา แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วมีความจำเป็นอะไรหรือ จึงต้องมีบัตรเครดิตมากมายถึงเพียงนั้นแล้วเขาเหล่านั้นเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าหากวันหนึ่งวันใดที่กระเป๋าบรรจุบัตรเครดิตหายไป เขาจะต้องประสบความโกลาหลมากสักเพียงใดในการโทรศัพท์แจ้งเพื่ออายัดบัตรเหล่านั้นให้ครบทุกบริษัทและครบทุกใบ
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าไม่ใช่ความผิดของบริษัทหรือธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตที่พยายามขายสินค้าของเขาให้จงได้ เพราะเขาเหล่านั้นก็ต้องทำธุรกิจเพื่อความอยู่รอด แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของsales ขายบัตรเครดิต และ sales ขายบริการเงินด่วนหรือเงินสินเชื่อส่วนบุคคลผ่านบัตรเครดิต ดังนั้น ถ้าหากคุณหรือใครก็ตาม ได้รับโทรศัพท์จาก sales เพื่อขายบัตรเครดิด และขายบริการสินเชื่อบัตรเครดิต (แม้หลายครั้งอาจจะเป็นการโทรฯ จิก ชนิดจิกเช้า จิกสาย จิกบ่าย และจิกค่ำ) เพราะนั่นคืออาชีพของเขา หากเขาไม่โทรฯ ตามตื้อคุณ เขาก็ไม่สามารถขายสินค้าของเขาได้ หากคุณไม่พอใจที่เขาโทรฯ บ่อยๆ ก็บอกเขาดีๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องตะคอกใส่เขา เพราะคนเหล่านั้นก็ถูกบีบให้หาลูกค้าให้ได้ หากหาไม่ได้เขาก็ต้องตกงาน ถ้าหากคุณอยากจะด่าจริงๆ คุณก็ควรโทรฯ ไปด่าต้นสังกัดของเขา เพราะพนักงาน sales ไม่สามารถหาเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของลูกค้าได้ ถ้าหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากต้นสังกัด
ขอกลับเข้าเรื่องเดิม เพราะฉะนั้น เมื่อเวลาคุณได้รับการติดต่อให้ทำบัตรเครดิต หรือให้กู้เงินสินเชื่อส่วนบุคคล คุณจึงต้อง
มีสติกำกับตัวเองตลอดเวลา คุณต้องตอบตัวเองให้ได้อย่างชัดเจนก่อนว่า คุณจำเป็นต้องมีบัตรเครดิตเพิ่มอีกหนึ่งใบ หรืออีกหลายๆ ใบหรือไม่ แล้วคุณจำเป็นต้องกู้เงินสินเชื่อส่วนบุคคลหรือไม่ ขอย้ำว่าไม่ใช่เรื่องผิด หากคุณมีความจำเป็นต้องมี และต้องกู้ แต่สิ่งที่จำเป็นมากกว่านั้นคือ คุณสามารถรับผิดชอบกับภาระทางการเงินที่คุณจงใจก่อขึ้นได้หรือไม่
มีคนจำนวนไม่น้อยชอบอ้างแบบไม่มีความรับผิดชอบว่า เป็นหนี้บัตรเครดิตแล้วถูกขูดรีด เพราะต้องเสียค่าดอกเบี้ยที่แพงมาก แถมยังต้องเสียเงินค่าติดตามทวงถามหนี้อีกด้วย เมื่อผู้เขียนได้ยินคนบ่นเช่นนี้ ก็มักจะถามกลับไปว่า “เขาบังคับให้คุณต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากเขาหรือ เขาเอาปืนมาจ่อหัวบังคับให้คุณต้องกู้หรือ” แล้วก็ถามเขาต่อไปว่า “ก่อนจะกู้หนี้หรือเป็นหนี้กับเขา เคยรู้ไหมว่าเขาคิดดอกเบี้ยเท่าไร แล้วเขาคิดค่าบริการอื่นๆ อะไรอีกบ้าง เคยรู้ไหม หรือว่าก่อหนี้โดยไร้สติสัมปชัญญะ”
ขอย้ำว่า ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินสินเชื่อส่วนบุคคลจากสถาบันการเงินที่ถูกกฎหมายของไทยมีอัตราที่สูงมาก ตัวอย่างล่าสุดเป็นอัตรากู้เงินสินเชื่อส่วนบุคคลจากธนาคารต่างประเทศรายหนึ่งที่เปิดบริการในประเทศไทย คิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการอนุมัติเงินกู้ดังนี้ กู้เงิน 150,000-199,999 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยต่อปี ร้อยละ 23.99 แต่ลดให้เหลือ ร้อยละ 20.99 ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะลดลงตามยอดเงินกู้ที่สูงขึ้น เช่น ถ้ากู้ 4 แสนบาท ถึง 699,999 บาท ดอกเบี้ยอยู่ที่ 17.99 ลดเหลือ 15.99 แต่ถ้ากู้ 1 ล้าน 3 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท ดอกเบี้ย 15.99 แต่ลดให้เหลือ 13.99 แต่ถ้าไปกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบกฎหมาย ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยสูงกว่านี้นับสิบเท่า แถมยังอาจจะต้องเจอกับการถูกทำร้ายร่างกายโดยกลุ่มอันธพาล ในกรณีที่ไม่สามารถจ่ายเงินคืนให้ตามกำหนด
แน่นอนว่า สำหรับกลุ่มคนที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อการดำรงชีพอย่างแท้จริง หรือกลุ่มคนที่มีเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ต้องใช้เงินเป็นกรณีพิเศษ ก็อาจจะหนีไม่พ้นการกู้หนี้ยืมสิน เช่น บางคนอาจเผชิญปัญหาลูกป่วยหนัก ต้องรีบรับการรักษาพยาบาลโดยด่วน ซึ่งเรื่องสาหัสเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ แต่สำหรับบางคนซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องกู้หนี้ แต่ก็ยังอุตส่าห์สร้างหนี้ เช่น พวกที่ชอบนำเงินในอนาคตมาใช้โดยปราศจากความยั้งคิด โดยเฉพาะพวกแพ้ป้ายลดราคา 50-70 เปอร์เซ็นต์ พวกแพ้ป้ายลดแลกแจกแถม ซื้อหนึ่งแถมห้า หรือพวกแพ้คำโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า “ยิ่งรูดมาก ยิ่งคุ้มมาก” หรือพวกที่ชอบ บินไปเที่ยวก่อนแล้วผ่อนภายหลัง หรือแม้กระทั่งพวกที่ใจละลายเมื่อเจอป้ายโฆษณาผ่อนนาน 10 เดือน โดยไม่มีดอกเบี้ย หรือป้ายโฆษณากินสี่จ่ายสอง หรือกินสองจ่ายหนึ่ง เหล่านี้เป็นต้น
ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่ความผิด และไม่ใช่สิ่งผิดปกติ หากจำเป็นต้องซื้อ และจำเป็นต้องใช้ แต่ถือเป็นเรื่องผิดปกติมากกับการซื้อโดยไม่ยั้งคิด บางคนขนซื้อโดยไม่มีความจำเป็นต้องซื้อ บางคนซื้อมาทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจซื้อ เช่น ใจจริงต้องการจะซื้อยาสีฟันเพียง2 หลอด สำหรับใช้ภายในบ้านที่มีคนอยู่ 2 คน แต่เมื่อไปพบป้ายลดราคาบ้าเลือด หรือป้ายโฆษณาซื้อ 3 หลอดแถมจานหนึ่งใบก็ส่งผลให้เกิดอาการสติหลุด ขนซื้อยาสีฟันไปถึง 15 หลอด เพราะต้องการได้จานเป็นของแถม 5 ใบ ทั้งๆ ที่ในบ้านก็มีจานชามเต็มตู้อยู่แล้ว
เหตุผลสำคัญที่นำเรื่องนี้มาชวนคุณผู้อ่านคิดในสัปดาห์นี้ก็เพราะ เห็นข่าวเรื่องธนาคารพาณิชย์หลายแห่งกำลังทำศึกแย่งชิงลูกค้าบัตรเครดิต โดยจะออกแผนการตลาดด้วยการจับมือกับห้างสรรพสินค้า สายการบิน ปั๊มน้ำมัน และโรงพยาบาล หรือภาษาที่ใช้ในข่าวธุรกิจคือ บัตรเครดิตร่วม (co brand) แล้วก็เป็นที่แน่นอนว่าผู้ให้บริการบัตรเครดิตก็จะต้องมองหาลูกค้าเพิ่มขึ้น และคุณผู้อ่านก็อาจจะอยู่ในกลุ่มเป้าหมายของผู้ให้บริการด้วย
ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่ใช่เรื่องผิด หากคุณจะก่อหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหนี้นั้นเป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิตของคุณ หรือหนี้นั้นสามารถสร้างรายได้ตอบแทนให้คุณอย่างคุ้มค่า แต่คุณก็ต้องไม่ลืมความจริงข้อที่ว่า หากคุณก่อหนี้แล้ว คุณก็ต้องชดใช้หนี้นั้นให้หมด อย่ามาทำเป็นพวกหน้าหนาไร้ยางอายที่อ้างว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย”
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง จะเป็นเรื่องดีกว่าหรือไม่ ถ้าหากคุณไม่จำเป็นต้องมีหนี้สินใดๆ เพราะการอยู่โดยปราศจากหนี้คือความสุขที่แท้จริงของชีวิต
ผู้เขียนชอบคำสอนของคนโบราณที่รักการออมเงิน และรู้จักใช้เงินอย่างสมเหตุสมผล ที่สอนลูกหลานของเขาว่า “ไม่หวงไม่ห้ามเลย ถ้าจ่ายเงินซื้อของที่จำเป็นต้องกินต้องใช้ แต่ขอสั่งห้ามเด็ดขาดกับการใช้เงินเพื่อซื้อของที่ไม่จำเป็น ขอให้กินเมื่อหิว แต่อย่ากินเมื่ออยาก”
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าทุกวันนี้บ้านไหนยังสอนลูกสอนหลานเช่นนี้บ้างหรือไม่ เหตุผลที่ถามเช่นนี้ก็เพราะสังเกตเห็นชัดว่า ยุคนี้คนไทยจำนวนไม่น้อยใช้เงินเกินตัวกันอย่างบ้าคลั่ง ใช้เงินในอนาคตราวกับว่าเป็นคนไม่มีอนาคต เคยสังเกตหรือถามตัวเองบ้างไหมว่า ทำไมเราจึงบ่นว่าเรายากจน แล้วทำไมคนอื่นๆ จึงไม่บ่นเหมือนเช่นเรา เป็นเพราะว่าเราสุรุ่ยสุร่าย ไม่ประหยัดมัธยัสถ์ใช่หรือไม่ ขอฝากข้อคิดนี้ให้กับคนที่ชอบก่อหนี้ตลอดเวลา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี