สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ในอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุเกือบ 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ สัดส่วนคนวัยทำงานจะน้อยลง เด็กเกิดใหม่จะมีสัดส่วนน้อยลง แถมที่เกิดใหม่ก็มักจะเกิดกับ “คนท้องที่ไม่พร้อม” ส่วนคนพร้อมกลับไม่ท้อง
มีคำถามมากมายตามมา
1. ใครจะเป็นคนที่รับความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหามากที่สุด?
คนไทยอายุ 40-50 ปี ในปัจจุบัน จะประสบปัญหาหนักมาก เพราะใน 10-20 ปีข้างหน้า เขาเหล่านี้จะเป็นผู้สูงอายุ และเป็นผู้สูงอายุพร้อมๆ กับคนจำนวนมหาศาล ดังคลื่นสึนามิที่ถาโถม
คนที่มีสวัสดิการรองรับก็มีปัญหาน้อยหน่อย แต่แรงงานนอกระบบที่ไม่มีสวัสดิการรองรับจะมีปัญหามากกว่ามาก หวังจะพึ่งลูกก็ไม่มั่นใจว่าจะพึ่งได้ จะออมเงินไว้ใช้ยามชราก็ไม่ค่อยทันการณ์
2. คนที่มีระบบสวัสดิการบำนาญรองรับมีจำนวนเท่าใด? และที่ไม่มีสวัสดิการรองรับ จะทำอย่างไร?
ปัจจุบัน ผู้มีระบบสวัสดิการรองรับ คือ ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ จำนวน 2 ล้านคน คนทำงานในระบบ (บริษัทเอกชน) มีกองทุนประกันสังคม 15 ล้านคน ส่วนแรงงานอิสระนอกระบบที่ไม่มีระบบสวัสดิการมีถึง 20 ล้านคน
แรงงานอิสระนอกระบบ เมื่อถึงวัยเกษียณ ก็จะได้เบี้ยยังชีพเพียงเดือนละ 600 – 1,000 บาท ตามอายุที่สูงขึ้น ซึ่งไม่พอใช้แน่นอน
รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้คิดโครงการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้แรงงานนอกระบบได้นำเงินไปออมกับธนาคารของรัฐ แล้วรัฐก็จะเติมเงินออมให้บางส่วน และเมื่อสูงอายุก็จะได้รับเงินจ่ายคืนเป็นรายเดือน
น่าเสียดาย เมื่อกฎหมายให้มี กอช.ผ่านสภา รัฐบาลอภิสิทธิ์พ้นไป รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามามีอำนาจ รัฐบาลใหม่ไม่ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น
จนถึงรัฐบาลประยุทธ์ ได้หยิบยกขึ้นดำเนินการต่อ แต่ก็มีสมาชิกเข้าออมเงินเพียง 5 แสนกว่าคนเท่านั้น และปริมาณเงินที่ผู้สูงอายุจะได้รับก็มีจำนวนไม่มากนัก
3. คนไทยส่วนมากยังไม่ชอบออมเงิน แต่ชอบเป็นหนี้ แล้วอนาคต เมื่อสูงอายุ จะทำอย่างไร?
เป็นความจริงว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยชอบจะซื้อของผ่อนส่ง หรือกู้เขามาเพื่อบริโภค ซึ่งเป็นการขอยืมเงินตนเองในอนาคตมาใช้ก่อน เพราะอนาคตก็ต้องคืนเงินยืม
ถ้าคนไทยรู้ความจริงว่า เมื่อจำเป็นต้องหยุดทำงาน และจะต้องมีชีวิตต่อไปอีก 20 ปี หากต้องการเงินเพื่อ
ใช้จ่ายเดือนละ 1 หมื่นบาท วันที่หยุดทำงานต้องมีเงินออม 2,400,000 บาท
แต่ถ้าต้องการใช้จ่ายเดือนละ 2 หมื่นบาท จะต้องมีเงินออม ณ วันที่หยุดทำงานประมาณ 5,000,000 บาท
แน่นอน คนที่ต้องการใช้จ่ายเดือนละ 4 หมื่นบาท ต้องมีเงินออมเมื่อหยุดทำงาน 10 ล้านบาท
นี่ยังไม่รวมค่ารักษาพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายหนักที่สุดในชีวิต ในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของชีวิต
ถ้าคนทั่วไปรู้ความจริงนี้ ก็คงจะคิดหาทางออมเงินเพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบันชอบคิดว่า รายได้ยังไม่พอ จะออมได้อย่างไร แสดงว่า คนที่คิดแบบนี้ มีสมการชีวิต คือ
มูลค่าของที่ต้องการบริโภค – รายได้ = หนี้สินหรือผ่อนส่ง
แต่อาจต้องคิดใหม่ว่า
รายได้ – เงินออม (ที่ต้องมี) = การบริโภค
ที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะสอนครูที่เป็นหนี้ หรืออาชีพอื่นใด
4. รัฐจะมีวิธีช่วยบังคับการออมให้เป็นระบบอย่างทั่วถึง เพื่อให้คนไทยรุ่นใหม่ได้มีเงินออมไว้ใช้ในยามชราบ้างไหม?
ปัจจุบัน เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยให้การจัดการข้อมูลบุคคลและข้อมูลการเงินสามารถทำได้อย่างง่ายดาย มีประสิทธิภาพ สามารถเชื่อมต่อบูรณาการกันได้หมด
รัฐบาลสามารถวางระบบเพื่อช่วยคนหนุ่มสาวที่จะต้องแก่ในอนาคตให้มีเงินออมได้ไม่ยาก เพียงรัฐเก็บภาษีเพื่อการออม บวกเข้าไปกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
หรือจะพูดให้ง่ายขึ้น รัฐก็เก็บ VAT เพิ่มจาก 7% สมมุติเก็บเป็น 10% ตามที่ได้ประกาศเป็นกฎหมายไว้ และนำเอา 3% ที่เพิ่มขึ้นมา ใส่อยู่ในชื่อของผู้ซื้อสินค้า ซึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้ทำได้ เพราะบัตรประชาชนมีการฝังชิพ บาร์โค้ด อย่างน้อยก็มีเลข 13 หลัก
แล้วเมื่อถึงวัยชราภาพ หยุดทำงาน รัฐก็รวบรวมเงินที่เก็บมาจากผู้บริโภคตลอดชีวิตเขา เฉลี่ยคืนให้เจ้าของเงินเป็นรายเดือน เสมือนบำนาญอีกประเภทหนึ่ง
และเมื่อรัฐได้สะสมเงินภาษีเพื่อการออม นำใส่เข้าไปในกองทุน นำไปบริหารจัดการให้ออกดอกผล (หรือรัฐนำไปใช้ก่อน) เป็นเวลานานหลายสิบปี ก็น่าจะเพิ่มเงินให้กับผู้ออมเงินได้อีกส่วนหนึ่ง
อย่างนี้ รัฐก็สามารถวางระบบบังคับออมช่วยคนได้ทั่วไปทุกคน
6. แนวทางข้างต้น ฟังดูดี เพราะรัฐเก็บภาษีการออมร่วมไปกับ VAT อย่างนี้ ประชาชนก็ได้คืนกลับมา ไม่เหมือนภาษีอื่นๆ ที่ไม่มั่นใจว่ารัฐเก็บเงินไปแล้ว ใครจะเอาไปทำอะไร โกงกันมากน้อยแค่ไหน แต่ช่วยยกตัวอย่างให้เห็นรูปธรรมง่ายๆ ชัดๆ ได้หรือไม่?
สมมุติ นายเชี่ยวชาญ ชีวิต เกิดเมื่อปี 2560 และจะหยุดทำงานในปี 2625 หรือเมื่ออายุ 65 ปี
ในช่วง 65 ปี นายเชี่ยวชาญได้จับจ่ายใช้สอยทุก 100 บาท เขาจะจ่ายภาษีการออม 3 บาท ฝากรัฐไว้ก่อน
ถ้าเขาจับจ่ายใช้สอยเฉลี่ยนับตั้งแต่เด็ก ที่รายได้น้อยใช้น้อย จนถึงอายุมากขึ้น มีรายได้มากใช้มากขึ้น
สมมุติว่า บริโภคเฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นบาท
แสดงว่าทุกเดือน เขามีเงินออมเฉลี่ย 600 บาท (3% ของเงินบริโภค 2 หมื่นบาท)
หรือปีละ 7,200 บาท
คำนวณจนถึงอายุ 65 ปี เขาจะมีเงินออม (65*7,200) = 468,000 บาท ที่ฝากไว้กับรัฐบาล
รัฐบาลอาจเติมเงินออกดอกผลให้อีกเท่าตัว เพราะเอาเงินเขาไปใช้ 65 ปี (ปีหนึ่งๆ มากบ้างน้อยบ้าง)
สมมุติว่ารัฐบาลเติมให้ 532,000 บาท
รวมทั้งหมดเป็น 1 ล้านบาท
หากรัฐจะทยอยจ่ายคืนให้ใน 15 ปี ก็จะได้เดือนละประมาณ 5,555 บาท ถ้าเสียชีวิตก่อน ก็ตกเป็นมรดกให้กับลูกหลานได้ต่อไป
นี่คือตัวอย่างรูปธรรมของการสร้างระบบออมเงินภาคบังคับ ผ่านภาษีการออมที่ 3% และเงินที่ใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นบาท ถ้าจะเพิ่มหรือลด ก็สามารถคำนวณดูได้
7. ตามแนวทางข้างต้น คนรวยที่มีรายได้ดี ก็มีการจับจ่ายใช้สอยสูง ย่อมจะมีเงินภาษีการออมสะสมมาก ทำให้ได้รับเงินคืนสูง ใช่หรือไม่?
ตามกลไกปกติก็เป็นเช่นนั้น หากพิจารณาเพื่อความเป็นธรรม ความจริงเงินที่รัฐเก็บไป ก็เป็นเงินของเขาเองที่จ่ายไปให้รัฐใส่กองทุนหรือเอาไปใช้ก่อน เขาจ่ายภาษีมากกว่า ก็เงินของเขา เขาก็ได้มากกว่า เป็นเรื่องปกติ
แต่รัฐก็มีหนทางที่จะลดความเหลื่อมล้ำได้ โดยเงินที่รัฐจะแถมให้ในฐานะที่รัฐได้เงินไปจัดการให้ออกดอกออกผลก่อนหลายสิบปี ก็อาจให้กับคนได้เฉลี่ยคืนที่เป็นคนจน มีรายจ่ายน้อย แต่ให้มากพิเศษ และขอให้กับคนรวยที่จับจ่ายใช้สอยมาก รัฐก็เพิ่มให้ในอัตราน้อยหน่อยได้
ตลอดช่วงชีวิต ประชาชนยังสามารถเช็คยอดเงินที่ตนเองออมไว้แล้วได้อีกด้วย
8. โครงการนี้ จะเกิดผลอย่างไรต่อร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม?
จะทำให้ร้านค้าเกิดแรงจูงใจเข้าสู่ระบบดิจิทัล
มีการบันทึกหลักฐานการซื้อขายมากขึ้น รัฐบาลก็จะได้ภาษี VAT ที่ประชาชนจ่ายเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วย
ที่สำคัญ จะช่วยป้องกันร้านค้าโกง VAT ได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากประชาชน ผู้บริโภค จะช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ช่วยตรวจสอบ ตรวจทาน
ว่าเงินค่าใช้จ่ายบริโภคของตนเองที่จ่ายไปนั้น ได้เข้าสู่ระบบภาษีการออมของตนเอง ควบคู่ไปกับเข้าสู่ระบบ VAT ถูกต้องหรือไม่
แนวคิดนี้ จึงสามารถทำได้จริง ภายใต้ระบบเทคโนโลยีปัจจุบัน และยังประโยชน์ระยะยาวทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม เกิดผลลัพธ์รูปธรรมจับต้องได้ตั้งแต่เริ่มดำเนินการเลยทีเดียว
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี